ใส่เสื้อกลับด้าน “จิ่งจกทัก” หมาขึ้นหลังคา อีกาบินข้ามศีรษะ เชื่อฝังหัว กลัวความตาย
บทที่ 25 เรื่องบ้าๆ ไปวันๆ โดย : ไอ้หัวเป็ด โคราช
เรื่องฝังหัว ของความกลัวตาย “ขณะมีชีวิต” เราอาจยังใช้ชีวิตยังไม่ถึงกับคำว่า “ถึงที่” หรือ ”สมควรตาย” เมื่อความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ความคับแค้นใจเข้ามาในชีวิต คนเรามักอ้างเหตุ หาผล อันน่าฟังมาหักลบ กลบเกิน กันอยู่เสมอว่า มีอีกหลายอย่าง หลายเรื่องในชีวิต ที่ยังไม่ได้ทำ ยังไม่ได้เริ่ม เหตุเพราะ เมื่อความตายจะมาถึงเร็วก่อนกำหนด หลายเรื่องเป็นความเชื่อฝังในจิตใจของมนุษย์เรามาช้านาน
ก่อนเข้าร้าน อั๊วก็ลืมถามราคามันก่อน (กลัวเสียฟอร์ม) น้ำตาแทบร่วง
บทที่ 24 ทนหิวทำไม โดย : ไอ้หัวเป็ด โคราช
แค่อีกวัน วันธรรมดาๆ ของชีวิตผม ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ณ ร้านกาแฟ “ลุงหนวด” เจ้าเก่า (ย้อนก่อนหน้านั้น 3 วัน) ก่อนเท้าแตะพื้น ก่อนที่ล้อจักรยานจะหยุดนิ่ง ผมสังเกตเห็นร้านค้าในตลาดดูบางตาไป ร้านขายอาหารตามสั่ง ขายก๋วยเตี๋ยว แม้กระทั่งร้านโจ๊ก ที่ตั้งโต๊ะพับแบบชั่วคราวติดร้านกาแฟลุงหนวด ที่เห็นทุกวันเป็นปกติ ก็ยังมาหยุดพร้อมเขา ด้วยสาเหตุใดไม่ทราบแน่ ไม่สนิท เลยไม่ได้ถาม ทั้งตลาดก็เลยมีร้าน “ลุงหนวด” เจ้าเดียวที่เปิด วันนั้นจึงเป็นวันผู้ถือครองตลาดของแก (ลุงหนวดเอง ผมรู้ว่าแกไม่กินเส้นกับเขา)
ครั้งหนึ่งในชีวิตของการเดินทาง
บทที่ 20 โดย : ไอ้หัวเป็ด โคราช
ไก่ชนผู้เดินทาง 2 ต่อ ถ่อมาไกล เพื่อความหมายแห่ง “ชัยชนะ” (ของใครกัน)
เด็กหนุ่มผู้เกิดมาพร้อมชะตากรรมของ “ชีพจรลงเท้า” ไม่เคยได้อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง จริงๆ จังๆ ตั้งแต่วัยเยาว์ แรกเริ่มเมื่อมารดาให้กำเนิด พอได้ลืมตาดูโลก เพียง 15 วันเท่านั้น (ในช่วงชีวิตของยาย มักคอยพูดเตือนความทรงจำ ให้ฟังเสมอ)
หลายคนอาจสงสัย เรื่องที่ผมจะเล่าเป็นหนังชีวิตย้อนยุค รึเปล่าน้า...มันก็ไม่แน่หรอกครับ
ก็แค่บทความกากๆ อ้างตามจดหมายเหตุ สิ่งที่ร่วงผ่าน สีจางๆ จากใจคน (ขอขอบพระคุณ ข้อมูลที่ได้หยิบมานำเสนอ) อาจเขียนสะกิด โดนสะเกล็ดใครไปบ้าง ก็ “ขออภัย” (หากแต่ความเป็นจริงมิได้ถูกบิดเบือน)
จากคนไร้จุดยืน บทความที่ 16 โดย : ไอ้หัวเป็ด โคราช
8 ธันวาคม พุทธศักราช 2484 ประเทศญี่ปุ่น ขณะนั้นเป็นสุดยอดมหาอำนาจเอเชีย หลังจาก ”โซ๊ยจีน” (ขอใช้เป็นคำสแลงแทนคำว่า “กิน” ในภาษาจีน) มาจนเกิดความมั่นใจ ว่ากูนี้แหละ “ผู้ยิ่งใหญ่”
แข็งแกร่งสุดๆ ในชุดผ้าเตี่ยวสีขาว (เปื้อนเลือดกำเดา หนึ่งแมะ) คิดจะรวมแผ่นดินสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ (คิดว่าจะทำให้ได้เยอะกว่า (ท่าน “เจงกิสข่าน” แห่งจักรวรรดิมองโกล) ในอดีต ญี่ปุ่นจึงเริ่ม
ก่อหวอด ด้วยการเปิดฉาก "สงครามมหาเอเซียบูรพา" The Greater East Asia War หรือที่พวก “ฝรั่ง” หัวแดง มักเรียกว่า สงครามภาคพื้นแปซิฟิค Pacific War เราซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ รักความสงบ (แต่ถึงรบไม่ขลาด) “ประเทศสยาม” ไม่สามารถหลีกเลี่ยงชะตากรรมนี้ แม้ว่าท่านผู้นำที่องอาจ จะได้ประกาศจุด "เขย่งยืน" โชว์ความเป็นกลางแล้วก็ตาม แต่ไม่อาจไปสะกิดต่อมสำนึก
ของ “กองทัพญี่ปุ่น” ไม่ให้เดินผ่านประเทศสยาม เหตุด้วยเลือดขึ้นหน้า บ้าพลังสุดฤทธิ์ เพียงเพื่อมุ่งไปข้างหน้า โจมตีประเทศเป้าหมาย ที่ตนคิดว่าไม่ใช่พวกก็เหมาเอาเองว่าเป็นศัตรูทั้งหมดของญี่ปุ่น
(เราจะเทียบเท่าสหราชอาณาจักร "อังกฤษ" ให้จงได้) คณะผู้จัดการประเทศสยาม ในขณะนั้น ก็รู้อยู่แก่ใจในเรื่องนี้อยู่แล้ว ท่านจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี
อันดับ 3 กินควบตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ขอความเห็น “รัฐมนตรี” คนสนิท สั่งได้ดั่งใจ (เพียงบางนาย) ซึ่งรับผิดชอบในการทหาร รวมถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีฉุกเฉินของเช้าวันที่8 ธันวาคม 2484 เราทั้งหลาย “สู้ไหวหรือไม่ “เสียงที่ตอบกลับอย่างพร้อมเพียง และหนักแน่ของชายชาติทหาร (คำตอบที่ได้นั้น) เป็นเพียงเสียงอ่อยๆ ว่า“สู้ไม่ไหวจริงๆ ครับ” แกร่งสุดๆ ไปเลย (โงกุน) “ไม่สบาย ครับผม” ยอมให้เขาผ่านเถอะครับ นึกถึงแม่ค้า พ่อขาย ก่อนเถอะ ถนนหนทางบ้านเราเดี่ยวนี้ลาดยางอย่างดี นโยบายนี้ ใช้งบประมาณมหาศาล ได้ทำการปรับปรุงเสร็จแล้วหลายสาย อย่างต่อเนื่อง รับรองไม่สึกหรอง่ายๆ หรอกครับผม คุณ รมต. ทางถนนยางมะตอย (รับประทาน เอ่ย) รับประกันได้...หมดจดเลยครับ พี่ น้อง
ทั้งหมด ทั้งมวล ที่กล่าวมา เป็นเพียงประวัติศาสตร์ อีกหนึ่งบทเรียน ที่น่าจดจำ อย่างน้อยคนไทยส่วนหนึ่งยังใฝ่รู้ ใฝ่ศึกษาค้นคว้า หาข้อผิดพลาดจากอดีต เป็นบทเรียนเพื่อดำเนินชีวิต และวิถีทางปกครองบ้าน (ไม่ได้พูดถึงเมือง) และอีกหลายคน น้อยนักที่จะสนใจเรื่องราวที่ไกลตัวเอง (ไม่ใช่เรื่องของตน) ความเป็นจริง ที่เราคนไทยในวันนี้ จะรู้หรือเปล่าว่า “บรรพบุรุษ” ของเรา อาจเป็นข้าราชการที่ดี เป็นชาวบ้านผู้มีใจรักบ้าน รักเมืองเกิด ต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง
พวกเราคนไทยในวันนี้ เข้าใจความเป็นจริง ของเรื่องราว “สงครามมหาเอเชียบูรพา” ก็แค่นิทานก่อนนอนที่คุณปู่ คุณย่า เล่าให้ฟังก่อนนอน และในอนาคตเร็วๆ นี้ อาจมีคนนำไปสร้างเป็นเกมส์ต่อสู้ขั้นเทพฯ ออนไลน์ ในคอมพิวเตอร์ แล้วไอ้ที่นั่งๆ หัวดำ หัวขาวนี่ละ จะซาบซึ้งใจเพียงแค่ นั่งดู “โกโบต้า ฟาดอังสุมานทาง” ในหนังย้อนยุคเท่านั้นเองรึ ป่วยแน่ๆ ลูกหลาน “ดูก็ดี ฟังก็ดี อ่านก็ดี”
ต้องเลือกสิ่งสุดๆ ของดี ให้กับตัวเองนะครับ โตๆ กันแล้ว
เครื่องกระตุ้นใจ เมื่อใช้ไฟฟ้า
บทที่ 23 ของความห่วงใย ไอ้หัวเป็ด โคราช
ก่อนที่โลกจะได้รู้จักกับ “โทมัส อัลวา เอดิสัน” ผู้ค้นพบวิธีทำหลอดไฟฟ้า ด้วยความ “ล้มเหลว” เกือบพันครั้ง กว่าจะประดิษฐ์หลอดไฟสำเร็จ (คงไม่ได้คิดเผื่อไปถึงผลกระทบจากการใช้พลังงาน) แสงสว่างอ่อนๆ ของหลอดไฟ ให้คุณประโยชน์ มอบแสงอันอบอุ่นแก่โลก (ขอคารวะ จากชาวโลก...ลืม)
“นำเอาลูกกรอก” จากเด็กที่ไปทำแท้ง นำมาปลุกเสก ทำให้ลุก ปลุกให้นั่ง ปั่นให้ผงก เป็นเอเย่นต์ติดต่อการค้า รึเปล่าน้า
บทที่ 19 ขอฮาด้วย โดย : ไอ้หัวเป็ด โตราช
(หวาดกลัว จนหยุดไม่ได้)
a doll crazyลูกเทพ หรือ ลูก afraid เด็กผี น่าหวาดกลัว (แขยง) จนขวัญเสีย สร้างความวุ่นวายให้คนในสังคมสับสน จนทำเรื่องโง่ๆ เพียงเพื่อเงิน มันหากินบนความอ่อนแอของจิตใจคน (อีแบบนี้ไม่คิด) เลยพากันถอยหลังไปตามๆ เข้าสู่ยุคใหม่ของ พ่อมด หมอผีลัทธิ “วูดู” Voodoo shaman (ในความเหมือนที่ต่างวิธีการ)
เรื่องสั้นๆ อ่านกันยาวๆ (ปฐมบท ต่อนที่ 5)
บทที่ 8/5 โดย : ไอ้หัวเป็ด โคราช
อวสานเสียได้ก็ดี..แล้ว (ไอ้เรื่องไม่น่าสนใจ)
เรื่องราวในกล่องของคนเรา มีมากมายหลากหลาย ทั้งที่หน้าจดจำ และอยากฝังไว้ให้ลึกที่สุด ของกล่องความทรงจำ เมื่อวันใดได้แวะเวียนกลับมาดู มาปัดฝุ่น มาเรื้อค้น ความทรงจำเหล่านั้นก็ทำให้เราหวนคิดถึงสิ่งที่ผ่าน อันประสบการณ์ ดีหรือไม่ ผ่านไปไม่อาจเรียกคืน สิ่งที่ทำไปแล้วได้ ในชีวิตของคนๆ หนึ่ง เราไม่อาจไปกำหนดค่าของประสบการณ์ว่า “ไร้สาระ” หรือ ทรงคุณประโยชน์ ธรรมดาของบนโลกนี้ มันก็ย่อมเป็นของโลกนี้ ไม่ใช่ของเราสักอย่าง เพียงเราเป็นผู้อาศัย เป็นของสมมุติชั่วคราว ที่มีมาพร้อมโลก อาจพูดเป็นธรรมว่า “เกิดขึ้นก่อนพระพุทธองค์” ในธรรมคำสั่งสอนท่านได้ตรัสกล่าวไว้เช่นนั้น ทุกสิ่งย่อมมีเหตุผลในตัวเอง นามผู้ที่ชื่อว่า “สังคม” มันเป็นผู้ยืนดูอย่างเย็นชา ใช้ถ้อยคำวิจารณ์ ตัดสิน และลงทันฑ์ อย่างมีระบบ แบบแผนของมัน เมื่อคนๆ นั้น ไม่ยอมจำนน ต่อจารีต วิถีทาง ข้อกำหนด ที่ “สังคม” ยิบยื่นให้ (มีคอกดีๆ ไม่ยอมอยู่) ใครละครับชอบอยู่ในคอก เพียงใจเรายึดมั่น 2 สิ่ง ให้เป็นเครื่องครองตัว เมื่ออยู่ในสังคม 1 ก็คือ หิริ ความละอายต่อการกระทำชั่ว หรือที่สังคมมันบอกว่าไม่ดี ถึงไม่มีใครรู้แต่นึกกินแหนงแคลงใจ ไม่สบายใจเป็นความรู้สึกรังเกียจ เห็นเป็นของสกปรก จนทำให้ใจเศร้าหมองเราก็ไม่ยอมทำมันซะ
2 โอตตัปปะ เกรงกลัวต่อสิ่งที่ให้ผลไม่ดี “ก็ชั่ว” เป็นความรู้สึกกลัว กลัวว่าเมื่อทำไปแล้วอาจส่งผลเป็นความทุกข์ทรมานแก่เรา เมื่อคิดได้เราก็ไม่ทำ
2 ข้อนี้เมื่อนำไปปฏิบัติแล้ว เราก็จะอยู่กับไอ้สังคม อย่างเป็นสุข (ปล่อยมันทำไปเถอะ) อีกอย่างครับถ้าจะให้ดีเลย ควรพกคำว่า “อย่าเห็นแก่ตัว” เท่านี้สังคม ก็ชอบและรักเราแล้ว โลกก็สงบสุขได้ ก็นั้นละครับ มนุษย์เรา ย่อมมีความคิดต่างกันออกไป
ไม่ใช่ว่า สิ่งที่ผมคิด จะถูกเสมอไป ไม่มีใครเชื่อใครง่ายๆ หรอกครับ ขนาด พ่อ แม่พูดเตือน สั่งสอน นอนใกล้กัน ยังไม่ฟัง ถึงฟังได้ ก็ไม่ทำซะอย่างงั้น แต่ก็อยากแสดงไว้ เผื่ออะไรจะดีขึ้นบ้าง (อย่าถือสา คนใกล้วัด) “พายเรือเล่นในอ่างทองคำ มันมันส์ดีวะ”
ระหว่างรอโทรศัพท์ ที่แพล้มมาทั้งหมด ก็รอใช้เครื่องละครับ สมัยนั้นมือถือแพงมากไม่มีปัญญาซื้อใช้หลอก ไอ้รุ่นกระดูกหมา กระดูกหมูนะ อย่างดีบางคนก็ใช้
“แพ็คลิ้งค์ “ (คล้ายๆ เครื่องโกนหนวดขนาดพกพา) อันนี้ผมก็ไม่เคยมีกับเขาหรอก จะโทรทีก็ตู้สาธารณะ ไม่งั้นก็มาโทรที่ทำงาน เวลาว่างเพราะเป็นคนไม่ชอบโทรศัพท์หาใคร ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่รู้ที่ทำดีหรือเปล่า แต่ดีกับการทำงานมาก ทำให้เราทุ่มเทไปให้งานอย่างเต็มที่ ผมก็เป็นอีกคนที่ชอบจับจด หรือเรียกว่าจดจ่ออยู่กับงาน พูดได้ว่ารับผิดชอบเต็มที่ ไม่เสร็จก็ต้องอยู่ดึกละครับ บางครั้งก็ใช้ที่ทำงานเป็นบ้านที่ 2 ไปเลย (ก็ไม่มีครอบครัวให้ห่วงนี้ ครับ) ตัวคนเดียว โสด ไม่มีใครเอามั่ง ลูกน้องเลยชอบมั่ง ไม่ชอบมั่ง ไอ้ที่ชอบก็มันได้ โอที พวกมีภาระมาก ไอ้ไม่ชอบ นี้ก็มีแฟนมาก หรือมีห่วงแต่เรื่องส่วนตัว ประเภทนี้ มักจะมาเร็ว ไปเร็ว (ใครทำอย่างไร ก็ได้รับผลอย่างนั้น) วางสายแล้ว เฮ้ย “พี่ขอใช้ต่อนะ” รีบ บ่ายสองจะเตรียมตัวรับงานใหม่ ลูกน้องรีบซักใหญ่เลย “งานอะไรพี่ อยู่โอไม่วันนี้” กระหายกันจัง ฟังแล้วก็ชื่นใจ แต่ไอ้ต่อไปนี้ซิ เมื่อโทรไปหาไอ้หนุ่ยแล้ว จะเกิดอะไรไม่คาดฝันหรือเปล่า ก็เลยบอกลูกน้องไปว่า “ยังสรุปไม่ได้” ไม่แน่ เตรียมตัวไว้เถอะ
เสร็จสิ้นการสนทนาทั้งปวง วางภาระทางโลกลง ล้วงกระเป๋ากางเกง ที่กระเป๋าด้านขวา มีรูขาดเท่าหัวแม่มือ ดีนะที่กระดาษโน๊ตเบอร์โทรที่ใส่ไว้ไม่หล่นหาย ผมคลี่กระดาษที่ยับย่นออก เบอร์ขึ้นต้นด้วย 02 เป็นเบอร์บ้าน เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เขียนด้วยดินสอไส้ H ขณะนี้มันดูเลือนๆ อ่านค่อนข้างยากสักนิด แต่พอจะแกะได้ ผมหยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู ด้วยอาการ มือสั่นเทา ไม่ได้หนักอะไรมากหรอกครับไอ้โทรศัพท์ แต่มันสั่นด้วยอาการภายในร่างกาย มันเตือนว่า “ฤทธิ์แอลกอฮอล์ จะหมดแล้วนะ”เหมือนเข็มวัดน้ามัน ที่คอยเตือน ด้วยไฟหน้าปัดสีแดงบอกน้ำมันจะหมด คล้ายๆ แบบนั้นละ เสียงสัญญาณ ตื๊ดๆ ยาวๆ หลายครั้ง ทีเดียวติดเลยไม่เสียเวลา “โหล หวัดดีเพื่อน หนุ่ย”หนุ่ยรับสายพอดี “สวัสดีชาวโลก” คำทักทาย สไตล์หนุ่ย ละครับ ผมเลยพูดเข้าประเด็นเลย “มีอะไรไหม แค่นี้นะ” เฮ้ย จะรีบไปไหน อยู่ด้วยกันก่อน (เล่นๆ กับเพื่อนนะครับ) เอาเป็นว่า “คืนนี้เจอกันที่เดิม จะรออยู่ตีนสะพานลอยฝั่งร้าน สาวรีชัย ห้าทุ่ม (ทำไมมันนัดดึกจังวะ ก็สงสัยอยู่ในๆ) เพื่อนมาหลายคน มาถึงแล้วค่อยคุยกัน “แค่นี้ บายดีเพื่อน” แล้วมันก็วางหู สั้นๆครับ เวลาผมคุยโทรศัพท์กับเพื่อน ก็เป็นลักษณะนี้ละ เลยรู้เรื่องมั่ง ไม่รู้ก็สุ่มเสี่ยงไปเองดีกว่า ยังไงเสีย มันก็ไปตั้งวงกัน อีหรอบเดิมนั้นละครับ
หลังจากนั้นสักครู่ใหญ่ ก็ถึงเวลาที่ผมต้องเข้าประชุมรับงาน อาการเริ่มกับมาในโหมดฟรุ้งฟริ้ง เหมือนเดิม หมายความถึงสดชื่น เบิกบาน พร้อมลุย (อยากให้มีศัพท์ใหม่ของวัยรุ่นบ้าง) เดี๋ยวเค้า จะว่า ลุงเชย เป็นพวกหลงยุค หรือมึนยุค (คอมเก่าตกรุ่น ก็ธรรมดา) บ่ายสอง สามสิบห้านาที AE การตลาด 3 คน Creative อาร์ตได Design และเจ้านายใหญ่ ร่วมประชุมครบ หลังจากรู้เรื่องราว ขอบข่ายงาน จุดประสงค์ เป้าหมายอย่างชัดเจน ก็แยกย้าย กันไปรับผิดชอบในหน้าที่ของแต่ละส่วนงาน ส่วนตัวผมเอง มีหน้าที่คิด ธีมงาน จากคอนเซ็ปที่เข้าให้มา ก็ได้หนังสือรายงานประจำปีเก่า ของปีก่อนๆ ย้อนหลังมา 3-4 เล่ม ผมก็เริ่มอ่าน ความเป็นมา วัตถุประสงค์ ขององค์กร ลูกค้า พอสังเขป ให้เกิดไอเดีย พอเดาทางออก ถึงความต้องการของลูกค้า จากปีที่แล้ว บริษัทน้ำมัน ผมจึงมุ่งเน้นงานไปด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก สร้างวิสัยทัศน์อันกว่างไกล ให้ทีมผู้บริหาร (หน้าที่ของผมก็สร้างภาพให้คนละครับ) วางรูปแบบงาน Design ให้เขาได้ทำงานต่อจากเราง่ายขึ้น ในเรื่องของรูปแบบ และอารมณ์ของงานว่าควรไปในทิศทางใด หลังจากนั้นไม่นานเรื่องยุ่งๆ ของวันก็จบลงอย่างเงียบสงบ สรุปไม่ต้องอยู่โอ เพราะยังสรุปงานไม่ได้ (ตัดภาพมาเลย) ที่ป้ายรอรถเมล์หน้าห้างดังแห่งหนึ่ง ของลาดพร้าวต้นๆ ซึ้ง ผมต้องเดินจากที่ทำงาน ประมาณ 3 ป้ายรถเมล์ ทุกวัน ทั้งไปและกลับ เป็นปกติ (แต่ก็ไม่ยอมผอมลงซะที) เพื่อกลับเคหะสถานที่พำนักอาศัย ย่านสะพานใหม่ไม่ ต้องห่วงครับ รถเมล์ผ่านหลายสายในเส้นนั้น จึงไม่ต้องรีบมาก รถมีตลอดคืน ชิวๆ แวะเติมเชื้อชั่วก่อนก็ยังทัน เป็นการอุ่นเครื่อง เรียกว่า “น้าจิ้ม” ก่อนลุยมื้อใหญ่ คิดได้ดังนั้นผมเลยต้องย้อนกลับไปซักนิดหนึ่ง ก็แค่ปากทางลาดพร้าว มีร้านลาบข้างทางเจ้าประจำ ติดคลองน้ำเน่าแห่งหนึ่ง ซึ่งเพื่อนๆ บริษัทโฆษณา ด้วยกัน ชอบแวะเวียนมานั่งสังสรรค์ ร้านเจ้ “หน่อย” จิ้มจุ่ม” รสแซ่บ ปากหนามทอดกรอบ “ส่วนเหงือกวัว” ตากแห้งแดดเดียว นำมาทอด เป็นกับแกล้มยอดฮิต ในช่วงนั้นเลย ก่อนที่จะเดินเข้ามาในร้าน ก็พบว่า มีเพื่อนเก่า 3-4 คน ของที่ทำงานเดิม ก่อนที่ผมจะแยกไปอยู่กับ พี่โต้ง และไอ้หนุ่ย Zellrust จำ ได้ไหมครับผมเล่าไว้ในบทแรกๆ ก็คนคุ้นเคยกันทั้งนั้น เรียกได้ว่าเพื่อนซี้ มีไอ้ เต็ง ไอ้นนท์ และอื่นๆ เป็นเด็กใหม่ เดี๋ยวสักครู่ก็ได้รู้จักละครับ เต็ง เห็นผมเดินมาแต่ไกล ก็ยกมือให้สัญญาณทักท้าย สไตล์ ฮิตเลอ “ไงเพื่อน นั่งๆ” แก้วเพิ่มอีกใบครับ เจ้หน่อย ผมทักท้ายเพื่อนเต็ง เพื่อนนนท์ พอสมควร ด้วยที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว "นั่งนานยังวะ” วันนี้มีธุระ นั้งนานไม่ได้วะ “ไอ้หนุ่ยมันนัดไว้ 5 ทุ่ม” ไปด้วยกันเปล่า เต็ง ผมออกปากชวนเพื่อนเต็ง มันบอกต้องทำโอ บริษัทนี้มันก็มีโอทั้งปี ทั้งชาติ ละครับ เงินเดือนน้อย อาศัย เงินโอที นี้ละครับประทังชีวิตของพวกเรา "ก็เล่นแดกกันได้ทุกวันนี้ครับ" (คำพูดไม่สุภาพ เพื่อความเป็นกันเองนะครับ) เริ่มจะได้ที่แล้ว เวลาก็ล่วงเข้าไปเกือบ 3 ทุ่ม ผมจึงขอตัวกลับก่อน กลัวว่ารถจะติด เดี่ยวจะสาย ต้องรีบกลับไปอาบน้า แต่งตัว ไปหาไอ้หนุ่ย และด้วยสันดานของผม ก่อนที่จะขึ้นห้องพัก ผมก็แวะร้านขายของชำ ของอดีตนักฟุตบอลทีมท่าเรือ ปัจจุบัน เป็นผู้ติดสุราเรื้อรัง แต่ก็ยังเป็นคนดี มีน้าใจ มากกว่าคนที่เรียกตัวเองว่าดี หลายๆ คน เรียกว่าอย่าดูคนแค่เปลือก (เหมือน กุ้ง ยังไงละครับ) พอพี่เขาเห็นหน้าเท่านั้น ก็รู้ไปถึงเซ่งจี้ ผมแล้ว คนไทยใจสู้ ผมก็ต้อนช้างหนึ่งเชือกกลับขึ้นห้อง พร้อมหลอดหนึ่งอัน (บางคนสงสัยใช้หลอดทำไม) ก็เอาไว้ดูดเบียร์ แบบนี้สะใจดี แบบจื้ดๆ เคยลองไหมครับ หลังจากเสร็จสิ้นธุระปะปัง อันไร้สาระของชีวิต หนุ่มโฉด (โสด สนิท) ก็ 4 ทุ่มนิดๆ ได้ฤกษ์ออกเดินทาง รถเมล์สายรังสิต ไปอนุสาวรี มีทั้งคืนครับ แต่ช่วงดึกๆ จะห่างหน่อย (บอกไว้เพื่อใคร จะมาอาศัยในเขตนี้) สะดวกครับ มีตลาดสดที่ใหญ่ ของอดีตนักการเมืองที่เป็นข่าว สยดสยอง มีห้างดัง อีกมากมาย แหล่งบันเทิง ที่ไหนก็มี แต่ราคาย่อมเยา ต้องแถวนี้เลยครับ รถเริ่มโล่ง ไม่ถึง 30 นาทีก็ถึงที่หมาย ผมลงรถ เดินเลียบฟุตบาทจากป้ายรถเมล์ ถึงสะพานลอย ข้ามสะพานลอยลงมา ก็เห็น ไอ้หนุ่ยยืนรออยู่ ดีเพื่อน รอนานยัง มันบอกสักครู่ เดินดูหนังสือ (แถวนั้นหนังสือปลุกใจเสือเฒ่า เพียบครับ) เข้าไปข้างในเถอะ เดี๋ยวก่อน มีเรื่องด่วนอะไรวะ มันตอบ “ไม่มีเรื่องมาหากันไม่ได้นี้ “ สำเนียงโคราช มันพูดต่อไปอีกว่า อีกสองวันจะบวช ก็เลยชวนผม ให้ไปด้วยกัน โดยเอารถเพื่อนของหนุ่ย ไปเลยนัดมาเจอกัน ผมไม่รู้จักกับเพื่อนของไอ้หนุ่ยหรอกครับ ก็วันนี้ละ จะได้รู้จักกันวันแรก เห็นมันบอกว่าเป็นนักข่าว ส่วนสังกัดที่ใด ผมเองก็ลืมๆ ไปแล้ว ก็เรื่องมันนานมาแล้วนี่ครับ เรื่องเพื่อนมันต่อกันเร็ว มีเชื้อ มีชนวน สบายมาก ไม่มีเคอะเขินหรอกครับ ซักพักก็เห็นคนนั่งกันเต็มร้าน ดนตรี กำลังเล่นอย่างสนุก สังเกตเห็นหลายคนแสดงอาการเคลิ้มตามเพลง ที่โต๊ะหัวมุมติดเคาน์เตอร์บาร์ มีชายฉะกัน 2 คน รูปร่างสันทัด ค่อนไปทางอ้วน หนุ่ยพาผมตรงดิ่งเข้าไปหา “เอาเจอแล้วหรือ ออกไปเร็วจัง” เสียงหนุ่มกรุงพูดไทยชัดเจน เฮย “ดอน” นี่ “แก๊ป” เพื่อนที่เคยทำงานด้วยกัน ขาเมาเหมือนกัน หวัดดี “นั่งนานยัง เสียงดังไปหน่อยนะ” นี่จะไปงานบวชหนุ่ย ด้วยเหลอ หนุ่ยมันตอบกลับ ก็ไปรถดอนนี่ละ ตี สาม ตีสี่ ล้อหมุน พอนั่งสักพัก แก้วใบใหม่ก็มา ผมอัดเบียร์มาเพียบ แต่นี่ดันมาเจอเหล้านอก เอาละวะ ไม่เกี่ยงงานนี้ ตายเป็นตาย ใจรักซะอย่าง นั่งคุย สารทุกข์ สุกดิบ สัพเพเหละ ได้พอคุ้นชินกันแล้ว เรียกว่า ยิ่งดื่มก็ยิ่งมัน ยิ่งฟังดนตรีฝรั่งแบบบ่นๆ ก็ทำให้ยิ่งเมา มองดูเพื่อนก็สุดติ่งเลยครับ หลีสาวโต๊ะข้างๆ อย่างสนุก ไอ้ดอนก็พูดแต่เรื่องสายข่าว ผมเองก็ได้แต่ฟัง มือซิครับไม่ยอมให้ว่าง รินดื่มไม่หยุด ลืมไปว่ามีเบียร์ รองพื้นเอาไว้ ก็ถึงจุดละครับ ผมก็เลยสนุกมาก แต่เป็นการสนุกอยู่คนเดียวอีกแล้ว เหมือนไอ้หนุ่ยมันเคยว่าผม มันว่าผมเป็นคนเมาแล้วไม่ห่วงใคร สนุกคนเดียว ไม่รู้ว่าเพื่อนจะเดือดร้อน (ทำยังไงได้ ก็คนมัน ฟิวขาดนี้ครับ) หลังจากนั้นไม่นาน ผมได้ยินเสียง “แก๊ปๆ ๆ” ผมลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย หนักหัวไปหมด ตามเนื้อตามตัว ก็ขัดยอก ยืดตัว บิดร่างกาย รวบรวมสติ “ก็งงอยู่” ถึงโคราชแล้ว เสียงไอ้ดอนเอง ที่ปลุกผม ลงไปกินข้าวต้มกันก่อน ไอ้หนุ่ย มันนั่งในร้านรอก่อนแล้ว ผมกับดอนจึงตามเข้าไปในร้าน ก่อนกินข้าวต้มวันนั้น หนุ่ยมันพูดว่า “สนุกไหมมึง เกือบตายก็ไม่รู้ตัว สนุกอยู่คนเดียวเลย” หนุ่ยมันบอกมาถึงโคราชใช้เวลา 2 ชั่วโมง เกือบนอนข้างทางกันแล้ว ไอ้ดอน มันขับรถสุดติ่งจริงๆ วะ ขนาดเมาสุดๆ มันยังประคองรถ พาเพื่อนมาถึงโคราชจนได้ มันสุดยอดจริงๆ “ไม่รู้รอดมาได้ไง” ผมไม่รู้หรอกครับ ผมเมา” น่ากลัวหรือเปล่าครับ END
เลขเด็ดประจำเดือน เตือนใจคนรักการปลูก
บทที่ 22 โดย : ไอ้หัวเป็ด โคราช
"อวิชชา" ความไม่รู้ หรือจะสู้ความอยากของคน พื้นฐานเดียวกันของมนุษย์ คือ “ความอยาก” ทางธรรมเรียกว่า “ตัณหา” ทะยานอยาก แบ่งเป็น 3 ลักษณะอาการ(เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย จึงใช้สำนวนบ้านๆ)
น้าผมพูดว่า “ผักกระถิน มันก็มีคุณค่า เทียบเท่ากับ การที่เราได้กินเนื้อ นั้นละ”
บทที่ 18 โดย : ไอ้หัวเป็ด โคราช
ความไม่เพียงพอของชีวิต ไม่ใช่อุปสรรคของวิถี “คนกล้า” ที่มีจิตใจมั่นคง อุดมการณ์ยิ่งใหญ่ (แรงบันดาลใจ และความฝัน) เส้นทางที่ต้องเดิน ต้องเผชิญกับหลายเรื่องราว ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า ทุกคนจะประสบความสำเร็จ สมหวัง ได้ทุกเรื่อง เหมือนกันทุกคนไป ไอ้ความผิดหวังในชีวิตของคนเราดูเหมือนว่า จะมีเปอร์เซ็นต์มากกว่าความสมหวังเสียอีก แต่มันไม่อาจเป็นอุปสรรคกรีดขวางหนทาง “ผู้กล้า” ที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จข้างหน้า เมื่อทิศทางนั้นถูกกำหนดไว้แล้ว
อนึ่งเมื่อเริ่มความรัก “น้าต้มผัก” ยังว่าหวาน ยิ่งนานวัน รักนั้นให้จืดจาง เพิ่มคำนาม ”ฉายา” รัก ให้ต่อกัน (nickname)
บทที่ 15 บทเรียนรัก โดย : ไอ้หัวเป็ด โคราช
ความรักของหนุ่ม สาว สมัยนี้ ดูไปแล้วก็คล้าย “เนื้อแดดเดียว” เช้าตาก เย็นแห้ง พร้อมรับประทาน เหนียว หรือ นุ่ม ขึ้นอยู่กับวิธีการหมัก เทคนิคสำคัญ ที่จะทำให้เนื้อนุ่ม และปัจจัยสำคัญก็คือ การทำให้เนื้อได้รับแสงแดดอย่างเหมาะสม เพียงพอต่อ”เซลล์” ทุกๆ อณูเซลล์ ของเนื้อที่หมัก เครื่องหมักที่มีคุณภาพ คลุกเคล้าให้ทั่วจนกว่าเครื่องปรุงจะซึมซับ เป็นหนึ่งเดียวกับชิ้นเนื้อ “ความรักก็เช่นกัน” หากไม่ใส่ใจ ลง รายละเอียดปีกย่อย บ้างในบางครั้ง บ่อยๆ ก็อาจจะเกิดปัญหาได้ (เอาพองามก็แล้วกัน) ให้ความสำคัญในเหตุ และผลของกัน และกัน เปิดใจ ไม่ปิดบังซ้อนเร้น เมื่อถึงตอนนั้น แสงอาทิตย์ อันอบอุ่นในหัวใจ ก็จะส่องลงมาถึงส่วนลึก ของความต้องการภายใน ของกันและกัน เหมือนเนื้อแดดเดียว ที่ (อ.ย) องค์การอาหารและยา รับประกันคุณภาพ “ผม” ต้องรวบรวมความกล้าอย่างมาก เพื่อจะถ่ายทอดงานชิ้นนี้ ออกมา ไม่ใช่เรื่องถนัดของผมซะด้วย แต่อยากแชร์ ประสบการณ์ ว่าครั้งหนึ่งเคยได้ยินมา ไม่ได้โดนกลับตัวหลอกครับ (กลัวจะผิดพลาด เพราะไม่รู้จริง) ผมเองก็เป็นอีกหลายๆ คน ที่ไม่ค่อยจะเข้าใจเรื่องนี้ ความเป็นจริงดูซับซ้อน กว่า “นิยายรัก” ผมเองก็ไม่ใช่ “กูรู” เรื่องความรัก หลอกครับ (ออกจะ ทุยๆ ด้วยซ้ำ) แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ ในเมื่อคนสองคนอยู่ด้วยกัน มันต้องมีเหตุ ปัจจัย มีแรงดึงดูดอะไร ที่ทำให้ต้องมาอาศัยอยู่ด้วยกัน มาผึ่งพา เป็นระยะเวลานานๆ บ้าง ระยะสั้นๆ แบบรวดเร็ว ด้วยคำจำกัดความ ด้วยคำนิยาม ไว้ว่า “รัก” จริงหรือเปล่า แรกๆ ของคนรักกัน คำสนทนา ใช้เรียกแทนตัว ของหนุ่ม สาว ได้ยินเรียกกัน “เธอ ฉัน ตัวเอง ที่รัก” ก็ฟังแล้วน่ารักดี แต่หลังจากนั้นไม่นาน “เขา เธอ ฉัน ตัวเอง” มันหายวะ มันกลายเป็น “อีเหี่ยว” ไปได้ ชัดๆ ครับ เต็มสองหูเลย ดูเหมือนฝ่ายชาย จงใจจะประกาศให้ทั้งโลกได้รู้ (ก็เล่นตะโกนเสียงดังขนาดนั้น) มันคงอึดอัดมานาน ไม่สมใจใน “ฺBody Shape” ของเด็กตัวเอง จึงเก็บไม่ไหว สะกดไม่อยู่ ระเบิดออกมาซะขนาดนั้น เป็นเรื่องฮาๆ ไม่มีเหตุผลเสียเลย ยิ่งหาสาเหตุ ก็ยิ่งงง ได้แต่แกล้งขำๆ ไปอย่างนั้น (ไม่รู้เหมือนกันว่า ฝ่ายหญิงมันเหี่ยวตรงไหน) ถึงได้สร้างความไม่พอใจให้อีกฝ่าย นี้...มันคงตั้งใจให้เรารู้ หรือเปล่า จะได้กัน ชายอื่นไม่ให้มาวุ่นวายกับเด็กของมัน จึงได้ออกตัวแรงขนาดนี้ “อี เหี่ยว” ก็หน้าส่งสาร หน้าแดงกล่ำ แบบเด็กผู้หญิงวัยรุ่นเขิน (อายม้วนต้วน) เดินตัวปลิว ส่ายตูดอาจๆ กลับเข้าบ้านอย่างไว เพียงคำเดียวสั่นๆ แต่แฝงด้วยพลัง “ให้ว่อง อีเหี่ยว” ก็เล่นตะโกนต่อหน้าคนตั้งมากมาย เรื่องของเรื่อง บ้านที่อาศัยนี้ เป็นห้องแถวติดกัน ครึ่งปูน ครึ่งไม้ ฝากั้นระหว่างห้องก็บางๆ พูดทีได้ยินกันทุกห้องละครับ นั้นคือครั้งหนึ่งที่ได้ออกไปเผชิญโชค ผจญภัย เปิดร้านทำป้ายด้วยตัวเอง (ไม่รอด) และตั้งแต่นั้นมา ผมก็ได้ยิน (น้องร้านซัก อบ รีด) ห้องหัวมุมสุด เรียกเด็กสาวนั้นว่า “อีเหี่ยว” เหมือนกัน คงฟังดูสนิทสนม เป็นกันเองระหว่างผู้หญิง กับผู้หญิงด้วยกันละมั่ง สำหรับผมแล้ว ไม่กล้าเรียกหรอกครับ กลัวเด็กมันอาย (ก็เราไม่รู้ว่ามันเหี่ยวจริงหรือเปล่า) หลังจากนั้นไม่กี่เดือน คู่นี้ก็เลิกรากันไป ไม่รู้สาเหตุ มันก็เรื่องของเขา เราอย่า...เผือก จะดีกว่า โลกจะได้สงบซะที
ฤดูแล้ง” ของเหล่ามนุษยชาติ “หัวดำในตาขาว
ศตวรรษ ที่ 21 ของ บทที่ 21 โดย : ไอ้หัวเป็ด โคราช
พุทธศักราช 2559 เดือนมีนาคม เป็นเดือนของการเริ่มต้น “ฤดูแล้ง” เหล่ามนุษยชาติ “หัวดำในตาขาว” ผิวเหลืองอมน้ำตาล ผู้เกิดมานาน ตายช้า เริ่มรู้สึกตัวเองว่าบัดนี้ “เราเอง ไม่สามารถหยุดยั้งเวลา” และมิอาจยับยั้ง “สังขาร” ที่ร่วงโรยตามการหมุนรอบตัวเองของโลกใบนี้ได้ แม้นวิทยาการทางการแพทย์จะเจริญก้าวหน้าสักเพียงใด (ความตาย และทุพพลภาพของร่างกาย มิอาจหยุดมันได้) ถึงจะมีการปลูกถ่ายอวัยวะเทียมในปัจจุบัน (แต่ก็ไม่สามารถใช้บริการของรัฐได้ทุกคน)
ใจเรา เมื่อมัน สนุกสิ่งที่เจอ มันก็คือ“ความสุขใจ”
บทที่ 17 โดย : ไอ้หัวเป็ด โคราช
โลกมนุษย์หมุนเวียนเข้าสู่ช่วง 25 พุทธศตวรรษ 2500 ปี ยุคสมัยนี้ อายุของคนเราโดยเฉลี่ย 70.3 ปี
ปลูกกุหลาบแดงไว้เพื่อเธอ เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอก “อีดอก เดียว” ก็อยากที่จะบานให้เชยชม ได้สมอารมณ์หมาย ละครับ ก็ปีนี้เล่นร้อน และแล้งเสียขนาดนี้
บทที่ 14 สิ่งดีๆ จากใจ : ไอ้หัวเป็ด โคราช
ความแห้งแล้งมันเริ่มขึ้นเมื่อไรฮึ ปีที่แล้ว หรือปีก่อนหน้านั้น สรุปจนมาปีนี้ น้ำประปาก็ไม่ค่อยจะไหล แต่ไอ้ใบเรียกเก็บค่าใช้น้าทำไม ไม่ยักกระลดลง ทั้งที่ไม่ค่อยจะได้ใช้ ถามๆ หลายคนบอกว่า “คงเป็นเพราะลมในท่อ ไปดันมิเตอร์น้า ให้หมุนเล่น ไม่ยอมหยุดมั่ง” ก็มีเหตุผล “ว่ากันไป” ช่วงนี้ไป ยันถึงสงกรานต์ หรือกว่านั้นมากๆ รู้สึกว่าเศรษฐกิจตามชนบท จะได้ฤกษ์ เฉลิมมงคล คึกคักขึ้นเสียที bustlingeconomy ที่ผมพูดเช่นนี้ไม่ได้สวนกระแสอะไรหลอกครับ ก็เห็นพวก ออ บอ ตอ เขาหารายได้เสริมกันทุกปี ช่วงนี้คงได้ฤกษ์ดี เปิดรับลูกจ้างชั่วคราว ออกขายน้า ตามหมู่บ้านชนบท หลายๆ ครอบครัว ที่บ้านมีฐานะ ก็มีภาชนะจัดเก็บน้ำใช้อย่างพอเพียง อีกหลายๆ บ้าน หาเช้า กินค่ำ กินดึกกินดื่น มีโอ่ง สองโอ่ง ที่ไม่มีเวลาเตรียมการ เหตุ เข็มขัดสั้น (คาดไม่ถึง) ว่าปีนี้ ”จะแล้งซ้ำซาก” อย่างนี้ หรือเพราะทุนทรัพย์ไม่เพียงพอ นึกถึงน้าพุ ที่พ้นเป็นสาย ยิ่งตกกลางคืนประดับไฟสวยๆ เจริญตา เจริญใจแล้ว “ถุย” ไอ้สำนึกหาย พืชพันธุ์ ธัญหารจะไม่มีแดกอยู่แล้ว ยังเสือก “บิ้วอารมณ์” ด้วยน้ำพุเต้นระบำ เต้นบนหัวคนนะสิ สร้างสรรค์จนเหลือเชื่อ ชาวบ้านเขาลำบากแทบเป็น แทบตาย วัว ควาย หิวน้ำ จนน้ำลายไหลยืด สารรูปแถบจะดูไม่ได้ พื้นที่แล้งซ้ำซาก แต่ละจังหวัด ช่วงนี้ เหลือจะทน ก็รอฝน รอฟ้ากัน “รากหญ้าอย่างเราๆ” จะทำยังไงได้ ได้แค่นั่งขอนั่งรอ บ้า บอ ไปตามเรื่อง ก็บ่นๆ ขอบนฝนเทวดา ว่าอีนี้นายจ๋า ช่วยอีฉันสักครั้ง ปีที่แล้วปลูกข้าวก็ไม่ต่อยได้ยัดห่า พอปีนี้มา ยิ่งแล้งหนักเลย น้ำประปาก็ไม่ไหล “จะให้อีฉันทำยังไง เจ้าคะ” ไหนละฝนเทียม ไหนละฝนเทวา ขอตกลงมาสักห่าใหญ่ ให้เต็ม โอ่ง ให้เต็มไห ให้คนไทย ได้พ้นภัยแล้ง ใช้น้าเล่นสงกรานต์ ให้สําเนียกตัวเอง ถึงเสียงร่ำร้อง “ขอท่านให้ช่วย” คลายทุกข์ ของชาวนา พี่น้องชาวบ้านที่ห่างไกลด้วยเด้อ อย่าเอาแต่แฉะ เพื่อความสนุกอย่างเดียว ลูกหลานไทย
สุดท้าย ฝากกลอน 4 ไม่สุภาพ (หรือเรียกอะไร ก็แล้วแต่)ฟังให้แขยงหู กันไปเลยครับ
โลกนี้ไทร ใช่ดอกไม้ ในกระถาง
หากแม้ชาติยั่งยืน หยั่งรากลึก
ให้สำนึกถึงต้นไม้ คุณแผ่นดิน
ให้สัตว์ป่า ใหญ่น้อยได้พักพิง
ทรงคุณสิ้น ดั่งตะกอน ซ้อนความดี
เพียงต้นไม้ได้อาศัยได้ผึ่งพา
เป็นผืนป่าเอื้ออาทร ทุกแห่งหน
ให้ละทิ้งสิ่งคอยหวัง กำไรตน
เพื่อดอกผล ต้นไม้ ได้งอกงาม
จนลูกหลาน สืบไม่สิ้น แผ่นดินไทย
(อ่านๆ แล้ว ก็ให้งงๆ เหมือนกันแฮะ)