แพทย์แผนไทย โคราช รักษาโรค SLE ไขความลับวิธีรักษาโรคแพ้ภูมิตัวเองหรือโรคพุ่มพวง ( SLE)
รถตู้ให้เช่า ร้อยเอ็ด
หมอเอ ณัฐปราชญ์ คลินิก

korat_sport

 ศึกแดงเดือดเก่งคนละ ครึ่งลงท้ายเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอาศัยคมกว่าได้โรบิน ฟาน เพอร์ซี่และเนมันย่า วิดิชลำเลียงกระสุนเบียดเอาชนะลิเวอร์พูลคู่ปรับที่ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ทำสถิติลง 2 นัดยิง 2 ลูกกู้หน้าพ่ายพะอืดพะอม 2-1 นำแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 7 แต้มเหมือนเคย
 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเปิดรังโอลด์ แทรฟฟอร์ดต้อนรับการมาเยือนของลิเวอร์พูลในศึกแดงเดือดครั้งที่ 2 ของฤดูกาล หลังจากเป็นฝ่ายบุกไปเอาชนะได้ถึงแอนฟิลด์เมื่อครึ่งซีซั่นแรก 2-1

เซอร์อเล็กซ์เสี่ยงหรือเปล่าไม่รู้จะตัดสินใจให้เฟอร์ดินานด์และวีดิชลงจับคู่กัน เป็นเกมแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายน ต้องดูว่าแข้งมากประสบการณ์ที่มีอาการบาดเจ็บรบกวนทั้งสองจะไหวกันไหม

รูนี่ย์ยังกลับมาไม่ทันสำหรับเกมนี้ ทำให้ฟาน เพอร์ซี่จะลงยืนหน้าเป้า โดยมีคากาวะและเวลเบ็คคอยประสานงานช่วย

ลิเวอร์พูลแน่นอนว่าไม่เจ็บไม่ไข้ซัวเรซต้องลงคอยล่าตาข่ายให้กับทีมและมี เจอร์ราร์ดจับคู่ประสานงานกับลูคัสในแดนกลาง ส่วนเชลวี่ย์ที่เกมแรกโดนใบแดงแล้วมีปากเสียงกับเฟอร์กี้นั้นเป็นเพียงแค่ สำรอง

ผลงานในระยะหลังแมนฯยูไนเต็ดสะดุดเจ๊าไปเกมก่อนที่จะไล่เก็บชัยได้ 3 นัดรวด ยังรั้งจ่าฝูงอยู่ ส่วนลิเวอร์พูลอยู่ในอันดับที่ 8 เก็บ 3 คะแนนมา 2 เกมติดเอาง่ายๆวันนี้สถิติเปลี่ยนแน่นอน

ครึ่งแรก

ผีมาสไตล์เจ้าบ้าน
ผ่าน 10 นาทีแรก เกมเป็นของแมนฯยูไนเต็ดมากกว่าในเรื่องของการครองบอลคตามสไตล์ที่พวกเขาได้ เล่นในถิ่นของตัวเอง ซึ่งลิเวอร์พูลเองไม่กังวลอะไรอยู่แล้ว เพราะเน้นเกมชัวร์ไว้ก่อน โอกาสค่อยหา ไม่ยาก

เกมดูเกร็งๆทั้งสองทีม
นอกจากความสำคัญเรื่องคะแนนแล้ว เกมแดงเดือดทุกครั้งมีศักศรีดิ์เข้ามาเกี่ยว ทำให้การไหลของบอลในจังหวะบุกของทั้งสองทีมมันไม่ได้เคลื่อนหน้าตั้งอย่าง เดียว ต้องเน้นความชัวร์ด้วย เลยสู้กันซะมาก โอกาสยิงยังไม่เปิด

korat_sportอย่ากระพริบตา!RVP เข้าตำแหน่งแปเสียยตาข่าย
เกมระดับนี้อย่าได้พลาดเชียว เพราะในนาทีที่ 19 แนวรับลิเวอร์พูลเหม่อกันไปเอง วิสดอมยืนห่างจากด้านข้าง โดนเอฟร่าที่รับบอลมาจากเคลฟเวอร์ลี่ย์กระชากจี้เข้าหาก่อนเปิดยัดเข้ากลาง ให้ฟาน เพอร์ซี่ที่ลูบปากรอยืนตั้งศูนย์แปด้วยซ้ายเน้นๆ บอลพุ่งเลียดผ่านมือเรน่าเข้าไปประตูไป แมนฯยูไนเต็ดได้ไวเลย 1-0

หงส์ไม่เป๋ตั้งเกมลุยต่อ
แม้ว่าจะโดนค่อนข้างเร็วในเกมที่มาเยือนแบบนี้ แต่ลิเวอร์พูลไม่มีอาการเมาหมักแต่อย่างใด เซ็ตเกมลุยกันใหม่ แต่รวมๆก็ไม่ได้ต่างจากเดิมคือได้บุกแต่ไม่ถึงไหนมาก จริงๆถ้าแมนฯยูไนเต็ดไม่ได้ประตูของฟาน เพอร์ซี่ก็คงไม่ต่างเท่าไหร่

RVP แล้วไง!โก๋แดนยิงเองแม่งเลย
นาทีที่ 34 พลาดโอกาสทำประตูไปเหมือนกันสำหรับเวลเบ็ค จังหวะแรกเขาได้ส้มหล่นจากความผิดพลาดที่ลิเวอร์พูลจ่ายมั่วกันเอง แตะหนีไปตวัดยิงในเขตโทษได้ แต่ติดแอกเกอร์ที่พุ่งบล็อกทัน ก่อนมีอีกจังหวะกระชากเข้าไปในเขตโทษ มีฟาน เพอร์ซี่รออยู่ตรงกลาง แต่แข้งโก๋แดนเลือกฝืนยิงด้วยซ้ายแม้มุมจะแคบ บอลเลยพุ่งออกไปไกล

นึกว่าเสียบ!เด็กฉลาดวอลเล่ย์เสียว
นาทีที่ 41 เอาซะมุมกล้องหลอกตากันเลยกับจังหวะนี้ที่ยังคล้องเปิดเข้าเขตโทษเวลเบ็ค ขึ้นโหม่งเช็ดก่อนที่บอลจะไปตกลงหน้าของเคลฟเวอร์ลี่ย์ที่วิ่งมาบวกวอลเล่ย์ ด้วยซ้าย แต่บอลมันพุ่งติดไซด์เลี้ยวหนีเสาประตูเฉี่ยวออกไปนิดเดียวเท่านั้นเอง

นิดเดียว!RVP ไขว้ติด-เรน่าน็อค
นาทีสุดท้ายของครึ่งแรก คาร์ริคจัดการโชว์จังหวะวางบอลสุดสวยยาวไปให้กับราฟาเอลเกี่ยวลงในเขตโทษ แม้ว่าจะเสียหลักแต่ก็จิ้มต่อให้ฟาน เพอร์ซี่ที่โฉบมาไขว้หวังให้ไกลเข้าเสา แต่ติดบล็อกซะก่อน ต่อเนื่องเลยคากาวะวิ่งมาพยายามซ้ำดาบสองแต่ไม่โดนปั้มเข้ากับเรน่าจังเบอร์ จังหวะเคลียร์ไปแล้ว แต่เรน่ายังลุกไม่ขึ้น จนต้องมีการหยุดเกมเพื่อให้มาดูอาการ

จบ 45 นาทีแรก ดูจากเกมแล้วต้องบอกเลยว่าแมนฯยูไนเต็ดน่าเสียดายที่ยังไม่ได้ลูกสองเพราะ พวกเขามีโอกาสจะๆอยู่ 2 ครั้งแต่ลิเวอร์พูลก็ยังช่วยกันได้ดี ต้องดูว่านำอยู่แค่ 1-0 แบบนี้ครึ่งหลังจะมีการพลิกสถานการณ์กันเกิดขึ้นหรือไม่

ครึ่งหลัง

ทั้งสองทีมมีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นเหมือนกัน แมนฯยูไนเต็ดถอดยังที่มีอาการบาดเจ็บออกไปแล้วให้วาเลนเซียลงทำหน้าที่แทน ส่วนลิเวอร์พูลก็ให้สเตอร์ริดจ์ได้ประเดิมในพรีเมียร์ ลีกกับทีม แล้วเอาลูคัสที่มีใบเหลืองติดตัวอยู่ออก
korat_sport
ปีนี้ของเขา!พี่ติ๊กขึ้นมาโขกแฉลบผีได้อีกเม็ด
นาทีที่ 54 เป็นปีที่น่าจดจำของเอฟร่าจริงๆ เพราะเขามีส่วนในการทำประตูอีกแล้ว จากจังหวะฟรีคิกของฟาน เพอร์ซี่ที่สเคอร์เทลไปเหนี่ยวเวลเบ็คแบบเจตนาทั้งที่จะหลุดแล้วก่อนรับใบ เหลือง แข้งดัตช์ปั่นบอลไปเสาสอง เอฟร่ามาจากไหนไม่รู้สอดขึ้นโขกบอลแฉลบไหล่ของวีดิชนิดหนึง ทำให้พุ่งดิ่งลงชิ่งพื้นเข้าประตูไป เรน่ารับไม่ไหวจริงๆ เกมห่าง 2-0 แล้ว

ประมาท!ผีพลาดโดนโปรเลี้ยงเปิดซิงเอาคืนทันควัน
มันชักจะมันส์ขึ้นเรื่อยๆแล้ว เมื่อลิเวอร์พูลมาเอาคืนอย่างทันควันจากจังหวะที่แมนฯยูไนเต็ดเล่นประมาท โคตรๆจ่ายบอลกันเสียหน้าประตู เจอร์ราร์ดเลยได้สับไกยิงนอกกรอบ เด เกอาพุ่งปัดเข้าสูตรเดิมเหมือนที่เคยเสีย เมื่อโดนสเตอร์ริดจ์วิ่งเข้าซ้ำสบายแฮ เป็นประตูแรกของเขาในสีเสื้อ 'หงส์แดง' ไล่มาเป็น 2-1 ยังไม่ยอมง่ายๆ

korat_sportคากาวะยิงติดเซฟเรน่า
นาทีที่ 64 ถ้าเข้าไปนี่สวยน่าดู สำหรับจังหวะของคากาวะที่เข้าเก็บตกบอลซึ่งเวลเบ็คจ่ายติดกองหลัง บรรจงปั่นอ้อมก่ะให้เสียบเสาแรก แต่เรน่าอ่านทางเยี่ยมพุ่งบินปัดทิ้งได้ทันหวุดหวิด

แลก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีลิเวอร์พูลก็ส่งบอรินี่ลงไปเล่นแทนสเตอร์ลิ่งซึ่งฟอร์มไม่กระดิกสักนิด แถมยังแอบหวงบอลไปด้วย

ผีชักจะเสียบอลง่าย
กลายเป็นเข้าฟอร์มประจำฤดูกาลนี้ยังไงก็ไม่รู้สำหรับแมนฯยูไนเต็ดที่เสียบอล กันง่ายดาย ผิดกับครึ่งแรกลิบลับ จ่ายเป็นเสีย โดยเฉพาะในแดนกลางที่ความผิดพลาดมีเยอะขึ้น ลิเวอร์พูลเลยได้กดดันต่อเนื่อง เผลอๆเดี๋ยวได้มีเสมอ

เกมบีบเหลือหลาย-ผีถอดชินจิ
เข้า 15 นาทีสุดท้าย เกมบีบสุดๆเลยในตอนนี้เพราะประตูต่อไปมันจะพลิกโฉมหน้าได้ทั้งนั้นและทั้ง สองทีมก็ถือว่ามีโอกาสไม่ต่างกันที่จะทำในจุดนั้น ส่วนแมนฯยูไนเต็ดส่งส่งโจนส์ลงไปเล่นแทนคากาวะเพื่อเน้นเกมรับและความแน่นใน การปะทะให้มากขึ้น

หงส์ได้กดดันต่อเนื่องแล้ว
ตอนนี้เป็นเกมของลิเวอร์พูลเกือบๆจะทั้งหมด เพราะแน่นอนว่าแมนฯยูไนเต็ดคงไม่กล้าเสี่ยง เฟอร์กี้เพิ่งส่งสมอลลิ่งแทนวีดิช ด้านลิเวอร์พูลจัดเฮนเดอร์สันแทนอัลเลน เหลือไม่ถึง 10 นาทีแล้ว
korat_sport
ใจจะขาด!โปรเลี้ยงยิงหลุดคาน
เป็นจังหวะที่แทบจะหยุดหายใจ เพราะลิเวอร์พูลวิ่งเข้าไปในเขตโทษของแมนฯยูไนเต็ด แย่งบอลขลุกคลิกไปมาแทบหาไม่เห็นว่าหล่นอยู่ตีนใคร สุดท้ายทะลักถึงสเตอร์ริดจ์ที่ยืนรองบอลอยู่วิ่งมาบวก แต่หลุดคานออกไป

จบ 90 นาทีที่แสนจะบีบหัวใจ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเอาชนะลิเวอร์พูลไป 2-1 ยังคงห่างกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่ชนะเช่นกันที่ 7 คะแนนเหมือนเดิมและนี่ก็เป็นการเก็บชัย 4 เกมติดของพวกเขาด้วย

ด้านลิเวอร์พูลต้องมาสะดุดพ่ายอีกเกม มี 31 คะแนนเท่าเดิมยังไม่กระดิกกระเดี้ยวไปไหน

รายชื่อนักเตะทั้งสองทีม

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ดาบิด เด เกอา 6, ราฟาเอล 6, ปาทริซ เอฟร่า 7, ริโอ เฟอร์ดินานด์ 6, เนมันย่า วีดิช 6(สมอลลิ่ง 6 น.80), ไมเคิ่ล คาร์ริค 7, แอชลี่ย์ ยัง 5.5(วาเลนเซีย 5 น.45), แดนนี่ เวลเบ็ค 7*, ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ 6, โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ 7, ชินจิ คากาวะ 6(โจนส์ 5.5 น.77)

สำรองที่ไม่ได้ลงสนาม : เบน เอมอส, อันแดร์สัน, ไรอัน กิ๊กส์, ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ

ลิเวอร์พูล : เปเป้ เรน่า 6, เกล็น จอห์นสัน 6, ดาเนียล แอกเกอร์ 7, มาร์ติน สเคอร์เทล 6, อังเดร วิสดอม 5, สตีเว่น เจอร์ราร์ด 6, ลูคัส 5(สเตอร์ริดจ์ 7 น.45), โจ อัลเลน 5(เฮนเดอร์สัน 6 น.80), หลุยส์ ซัวเรซ 6, สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง 6, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง 5(บอรินี่ 6 น.62)

สำรองที่ไม่ได้ลงสนาม : แบรด โจนส์, เจมี่ คาร์ราเกอร์, แจ็ค โรบินสัน, จอนโจ้ เชลวี่ย์
ที่มา:http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=751857

 

 

Go to top