แพทย์แผนไทย โคราช รักษาโรค SLE ไขความลับวิธีรักษาโรคแพ้ภูมิตัวเองหรือโรคพุ่มพวง ( SLE)
รถตู้ให้เช่า ร้อยเอ็ด
หมอเอ ณัฐปราชญ์ คลินิก

 

นอก จากปัญหาทางด้านสังคมแล้วยังมีปัญหาเรื่องของการใช้งานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะมือใหม่มักจะไม่ค่อยรู้เรื่องการใช้งานและการบำรุงรักษาเลย หลายครั้งปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากความบกพร่องของตัวรถ แต่มันมาจากปัญหาเรื่องของความไม่รู้และการใช้งานผิดวิธี รวมถึงการได้รับการปลูกฝังแบบผิดๆ มาโดยตลอด อะไรบ้างที่เป็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการใช้งานตัวรถ รวมถึงการใช้ผิดวิธี ลองมาดูแล้วปรับเปลี่ยนลักษณะการใช้งานเสียใหม่ เพื่อให้รถยนต์คันโปรดสามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน

1. น้ำมันเครื่อง

สมัย ก่อนสูตรการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง 3,000 กิโลเมตรในเมือง และ 5,000 กิโลเมตรเดินทางไกล ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะว่าสมัยนั้นเรื่องของโลหะวิทยายังต่ำมากๆ สังเกตได้จากรถยนต์ต้องเปลี่ยนแหวนลูกสูบ ต้องบดวาล์ว หรือทำ Top Overhall กันที่ประมาณ 1.5 แสนกิโลเมตรเท่านั้นเอง ในขณะที่รถยุคหลังเครื่องยนต์สามารถใช้งานได้มากกว่า 3 แสนกิโลเมตร โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนแหวน

น้ำมัน เครื่องก็เช่นกันมีการพัฒนาควบคู่กันโดยตลอด มีประสิทธิภาพและอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นมาก อย่าไปหลงอยู่กับการยึดติดเก่าๆ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีด้านต่างๆ พัฒนาไปไกล จากงานวิจัยพบว่าน้ำมันเครื่องเกรดธรรมดาในปัจจุบันนั้นมีอายุการใช้งานที่ ยาวนานกว่าเดิมเป็นเท่าตัว แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเร็วเกินไป นอกจากทำให้สิ้นเปลืองแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเนื่องจากน้ำมันเครื่องเก่าเป็นขยะพิษที่ไม่ ย่อยสลายในธรรมชาติต้องผ่านกระบวนการทำลายอย่างถูกต้อง

รถ ยนต์หลายยี่ห้อที่ใช้น้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา โดยระบุว่าสามารถใช้งานได้ถึง 1 แสนกิโลเมตร แต่คนส่วนมากไม่เชื่อเพราะคิดว่าบริษัทรถยนต์ต้องการให้เครื่องหลวมเร็ว ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะจุดประสงค์หลักต้องการลดขยะพิษ และลดค่าดูแลรักษาตามระยะให้ถูกลง

การ ใช้น้ำมันเครื่องที่ถูกต้องนั้นต้องดูจากฉลากข้างกระป๋องเป็นสำคัญ บางยี่ห้อจะระบุไว้ว่าให้เปลี่ยนที่ระยะทาง 10,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน ลองเปรียบเทียบดูจากฉลากของแต่ละยี่ห้อ แล้วเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความคุ้มค่านอกจากจะประหยัดเงินแล้วยังช่วยลดขยะพิษ ได้อีกทางหนึ่ง

นอกจากปัญหาทางด้านสังคมแล้วยังมีปัญหาเรื่องของการใช้งานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะมือใหม่มักจะไม่ค่อยรู้เรื่องการใช้งานและการบำรุงรักษาเลย หลายครั้งปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากความบกพร่องของตัวรถ แต่มันมาจากปัญหาเรื่องของความไม่รู้และการใช้งานผิดวิธี รวมถึงการได้รับการปลูกฝังแบบผิดๆ มาโดยตลอด อะไรบ้างที่เป็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการใช้งานตัวรถ รวมถึงการใช้ผิดวิธี ลองมาดูแล้วปรับเปลี่ยนลักษณะการใช้งานเสียใหม่ เพื่อให้รถยนต์คันโปรดสามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน  1. น้ำมันเครื่อง  สมัยก่อนสูตรการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง 3,000 กิโลเมตรในเมือง และ 5,000 กิโลเมตรเดินทางไกล ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะว่าสมัยนั้นเรื่องของโลหะวิทยายังต่ำมากๆ สังเกตได้จากรถยนต์ต้องเปลี่ยนแหวนลูกสูบ ต้องบดวาล์ว หรือทำ Top Overhall กันที่ประมาณ 1.5 แสนกิโลเมตรเท่านั้นเอง ในขณะที่รถยุคหลังเครื่องยนต์สามารถใช้งานได้มากกว่า 3 แสนกิโลเมตร โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนแหวน  น้ำมันเครื่องก็เช่นกันมีการพัฒนาควบคู่กันโดยตลอด มีประสิทธิภาพและอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นมาก อย่าไปหลงอยู่กับการยึดติดเก่าๆ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีด้านต่างๆ พัฒนาไปไกล จากงานวิจัยพบว่าน้ำมันเครื่องเกรดธรรมดาในปัจจุบันนั้นมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเดิมเป็นเท่าตัว แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเร็วเกินไป นอกจากทำให้สิ้นเปลืองแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเนื่องจากน้ำมันเครื่องเก่าเป็นขยะพิษที่ไม่ย่อยสลายในธรรมชาติต้องผ่านกระบวนการทำลายอย่างถูกต้อง  รถยนต์หลายยี่ห้อที่ใช้น้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา โดยระบุว่าสามารถใช้งานได้ถึง 1 แสนกิโลเมตร แต่คนส่วนมากไม่เชื่อเพราะคิดว่าบริษัทรถยนต์ต้องการให้เครื่องหลวมเร็ว ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะจุดประสงค์หลักต้องการลดขยะพิษ และลดค่าดูแลรักษาตามระยะให้ถูกลง  การใช้น้ำมันเครื่องที่ถูกต้องนั้นต้องดูจากฉลากข้างกระป๋องเป็นสำคัญ บางยี่ห้อจะระบุไว้ว่าให้เปลี่ยนที่ระยะทาง 10,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน ลองเปรียบเทียบดูจากฉลากของแต่ละยี่ห้อ แล้วเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความคุ้มค่านอกจากจะประหยัดเงินแล้วยังช่วยลดขยะพิษได้อีกทางหนึ่ง  2. อุ่นเครื่อง 3-5 นาที  เครื่องยนต์ประกอบด้วยโลหะหลายชนิดด้วยกัน การออกแบบชิ้นส่วนจะมีการเผื่อระยะให้โลหะบางชิ้นขยายตัวให้ฟิตพอดีกับอีกชิ้นส่วนหนึ่ง ถ้าไม่อุ่นให้เครื่องยนต์ถึงอุณหภูมิใช้งานก่อน จะทำให้เกิดการสึกหรอมากกว่าปกติเนื่องจากชิ้นส่วนมีการแกว่งหรือเขย่า  แต่การอุ่นเครื่องให้ถึงอุณหภูมิใช้งานนั้นไม่ควรทำโดยจอดอยู่กับที่ เพราะจะทำให้เกิดมลพิษสูงเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ การอุ่นเครื่องที่ถูกต้องคือหลังจากสตาร์ทเครื่องพอไฟโชว์ต่างๆ บนหน้าปัดดับหมด ก็พร้อมเคลื่อนที่ได้แต่ต้องแล่นช้าๆ สักครู่เพื่อให้เครื่องยนต์ถึงอุณหภูมิร้อนขึ้น เมื่อเข็มความร้อนเริ่มขยับสูงขึ้นสักประมาณครึ่งหนึ่งของระดับปกติก็สามารถเพิ่มความเร็วได้จนเข็มความร้อนชี้ในระดับปกติก็ใส่กันได้เต็มที่  เรื่องการวอร์มเครื่องยนต์นั้น ตอนเช้ายังไม่น่าหนักใจเท่าตอนจอด โดยเฉพาะพวกที่ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบการอุ่นเครื่องก่อนดับถือว่าสำคัญมากๆ ใครที่เป็นคนช่างสังเกตจะรู้ว่าหลังจากที่ขับมาด้วยความเร็วสูงๆ แล้วดับเครื่องทันที สักพักเราจะได้ยินเสียงโลหะหดตัวดังเป็นระยะๆ  เหตุผลที่ต้องทำการอุ่นเครื่องก่อนดับ เพราะว่าหลังจากดับเครื่องยนต์แล้วระบบระบายความร้อนจะไม่ทำงาน น้ำจะไม่ไหลเวียน บางยี่ห้อพัดลมไฟฟ้าอาจจะทำงานต่อระยะเวลาสั้นๆ แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรมาก  เมื่อดับเครื่องอุณหภูมิจะสูงขึ้นอีกราว 20-25 องศาเซลเซียส และอาจสูงกว่านั้นถ้าขับแช่มาด้วยรอบเครื่องสูงๆ เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นโลหะก็จะขยายตัวมากขึ้น นานๆ ไปอาจทำให้เกิดความเครียดขึ้นกับชิ้นส่วนภายใน การสึกหรอเร็วกว่าปกติก็จะตามมาโดยเฉพาะกับเครื่องยนต์เทอร์โบ  การอุ่นเครื่องก่อนดับที่ถูกต้องนั้นไม่ใช่การอุ่นเครื่องอยู่กับที่เพราะจะก่อปัญหาเช่นเดียวกับการอุ่นเครื่องตอนเช้า วิธีก็คือก่อนถึงที่หมายสักประมาณ 2-3 กิโลเมตร ให้ลดความเร็วลง โดยวิ่งความเร็วคงที่พยายามให้รอบเครื่องยนต์ต่ำๆ ระบบระบายความร้อนจะได้ทำงานได้อย่างเต็มที่ ยิ่งใช้ความเร็วสูงต่อเนื่องมานานก็ต้องเพิ่มระยะทางในการอุ่นเครื่องให้นานขึ้น เพราะเครื่องยนต์มีขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาในการลดอุณหภูมิพอสมควร ถ้าปฏิบัติแบบนี้สามารถดับเครื่องยนต์ได้เลยทันที  3. การใช้เกียร์อัตโนมัติ  ถ้าเป็นรถรุ่นเก่าหน่อยที่ระบบเกียร์ยังไม่ฉลาดมากนัก จำเป็นต้องเปลี่ยนลงมาเกียร์ต่ำทั้งขึ้นและลงเขา เพื่อรักษารอบของเครื่องยนต์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ตัวรถจะได้มีแรงบิดพอสำหรับการฉุดลาก  เกียร์รุ่นเก่านั้นเมื่อรอบเครื่องยนต์และแรงดันน้ำมันถึง มันก็จะเปลี่ยนเป็นเกียร์สูงขึ้น ทำให้รถไม่มีแรงหรือไม่มีเอ็นจิ้น เบรก ส่วนรถสมัยใหม่ไม่ต้องทำอะไรเลยเพราะระบบจะรู้ทันทีว่าคุณกำลังขึ้นหรือลงเนินอยู่ และจะทำการเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์เหล่านั้น โดยที่คุณไม่ต้องพะวงกับการทำงานของมันเลย  ข้อนี้จึงต้องแยกเป็น 2 ประเด็นด้วยกัน คือ รถเก่าหรือระบบควบคุมเกียร์ไม่ทันสมัยต้องเปลี่ยนลงเกียร์ต่ำ ส่วนรถใหม่ๆ ลองสังเกตดูเวลาเวลาขึ้นเขาแล้วเกียร์เปลี่ยนเป็นเกียร์สูง เวลาลงเขาก็ไม่คาเกียร์เอาไว้ให้มีแต่จะเปลี่ยนเป็นเกียร์สูงขึ้น ถ้าเป็นแบบนี้ก็ต้องเปลี่ยนลงมาเป็นเกียร์ต่ำเพื่อความปลอดภัยของเครื่องยนต์และเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่  4. รถติดไฟแดงควรใช้เกียร์ N หรือ D  ในทางปฏิบัตินั้นเกียร์ออโต้ยุคแรกๆ ยังไม่ทนทานเท่าปัจจุบัน รวมทั้งใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่มีแรงบิดสูง ยุคนั้นกลไกการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ยังโบราณอยู่ การเหยียบเบรกแช่เมื่อรถติดไฟแดงในตำแหน่งเกียร์ D จึงเหมาะสม อีกเหตุผลหนึ่งในยุคนั้นติดไฟแดงกันช่วงเวลาสั้นๆ  ในรถยุคปัจจุบันกลไกการเปลี่ยนเกียร์พัฒนาไปมาก โดยเฉพาะความทนทานและที่พัฒนาควบคู่กันไป คือรถติดนานขึ้น การเปลี่ยนไปใช้เกียร์ N มีความปลอดภัยกว่าหลายๆ ด้าน ประเด็นแรกคือเรื่องของการสึกหรอในระบบเกียร์จะต่ำกว่า  เคยใช้เครื่องมือตรวจสอบของศูนย์บริการทดสอบ ปรากฏว่าจอดคาเกียร์ D ไว้ไม่ถึง 3 นาทีความร้อนของน้ำมันเกียร์เพิ่มขึ้นมาหลายองศา การคาเกียร์ D ยังเป็นการสร้างความเครียดให้กับชิ้นส่วนที่มีการเคลื่อนไหวของช่วงล่างทั้งหมด ทำให้อายุการใช้งานของบู๊ชยางต่างๆ และชิ้นส่วนที่ต่อมาจากเกียร์สึกหรอเร็วกว่าปกติ  อัตราที่มองข้ามและทำให้มีคนเสียชีวิตมาแล้ว คือกรณีของรถที่พุ่งไปชนคันหน้า ไม่ก็พุ่งชนคน เพราะจังหวะที่เผลอปล่อยเบรก หรือขึ้นเบรกมือไว้ไม่สุดจะทำให้รถพุ่งไปข้างหน้าได้ เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานควรเข้าเกียร์ N และดึงเบรกมือไว้เพื่อป้องกันไม่ให้รถไหล  5. รู้จักอ่านคู่มือประจำรถ  เวลาซื้อมือถือหรืออุปกรณ์อะไรใหม่ๆ มาก็ยอมเสียเวลาอ่านคู่มือการใช้งานได้ แต่คู่มือรถกลับไม่มีใครให้ความสนใจ บางคนใช้รถมา 4-5 ปีไม่เคยเปิดอ่านคู่มือเลยก็มี ในคู่มือประจำรถจะบอกถึงวิธีการใช้งานที่ถูกต้อง การบำรุงรักษา และการแก้ไขเบื้องต้น  ดังนั้นเมื่อมีคู่มือต้องศึกษาอย่างละเอียด และคู่มือของรถแต่ละรุ่นไม่สามารถใช้เป็นบรรทัดฐานสำหรับรถรุ่นอื่นได้ แม้ว่าจะเป็นรถค่ายเดียวกันก็ตามที เพราะอุปกรณ์หลายอย่างออกแบบมาไม่เหมือนกัน หรือใช้เทคโนโลยีคนละชนิดเพราะฉะนั้นควรใส่ใจในการศึกษาอ่านคู่มือประจำรถให้ดี  เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่มือใหม่ไม่เคยรู้ และมือเก่ากว่าครึ่งก็ไม่รู้เหมือนกัน แถมยังถ่ายทอดมายังมือใหม่แบบผิดๆ อีกเช่นกัน การปรับเปลี่ยนทัศนคติและศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายจราจร มารยาทบนท้องถนน และการดูแลรักษารถยนต์ เป็นสิ่งที่ควรทำเพราะจะทำให้คุณใช้งานรถยนต์ได้อย่างยาวนาน และมีส่วนช่วยให้ปัญหาจราจรลดลง ที่มา: http://www.gmlive.com/5-%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1/

2. อุ่นเครื่อง 3-5 นาที

เครื่อง ยนต์ประกอบด้วยโลหะหลายชนิดด้วยกัน การออกแบบชิ้นส่วนจะมีการเผื่อระยะให้โลหะบางชิ้นขยายตัวให้ฟิตพอดีกับอีก ชิ้นส่วนหนึ่ง ถ้าไม่อุ่นให้เครื่องยนต์ถึงอุณหภูมิใช้งานก่อน จะทำให้เกิดการสึกหรอมากกว่าปกติเนื่องจากชิ้นส่วนมีการแกว่งหรือเขย่า

แต่ การอุ่นเครื่องให้ถึงอุณหภูมิใช้งานนั้นไม่ควรทำโดยจอดอยู่กับที่ เพราะจะทำให้เกิดมลพิษสูงเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ การอุ่นเครื่องที่ถูกต้องคือหลังจากสตาร์ทเครื่องพอไฟโชว์ต่างๆ บนหน้าปัดดับหมด ก็พร้อมเคลื่อนที่ได้แต่ต้องแล่นช้าๆ สักครู่เพื่อให้เครื่องยนต์ถึงอุณหภูมิร้อนขึ้น เมื่อเข็มความร้อนเริ่มขยับสูงขึ้นสักประมาณครึ่งหนึ่งของระดับปกติก็สามารถ เพิ่มความเร็วได้จนเข็มความร้อนชี้ในระดับปกติก็ใส่กันได้เต็มที่

เรื่อง การวอร์มเครื่องยนต์นั้น ตอนเช้ายังไม่น่าหนักใจเท่าตอนจอด โดยเฉพาะพวกที่ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบการอุ่นเครื่องก่อนดับถือว่าสำคัญมากๆ ใครที่เป็นคนช่างสังเกตจะรู้ว่าหลังจากที่ขับมาด้วยความเร็วสูงๆ แล้วดับเครื่องทันที สักพักเราจะได้ยินเสียงโลหะหดตัวดังเป็นระยะๆ

เหตุผล ที่ต้องทำการอุ่นเครื่องก่อนดับ เพราะว่าหลังจากดับเครื่องยนต์แล้วระบบระบายความร้อนจะไม่ทำงาน น้ำจะไม่ไหลเวียน บางยี่ห้อพัดลมไฟฟ้าอาจจะทำงานต่อระยะเวลาสั้นๆ แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรมาก

เมื่อ ดับเครื่องอุณหภูมิจะสูงขึ้นอีกราว 20-25 องศาเซลเซียส และอาจสูงกว่านั้นถ้าขับแช่มาด้วยรอบเครื่องสูงๆ เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นโลหะก็จะขยายตัวมากขึ้น นานๆ ไปอาจทำให้เกิดความเครียดขึ้นกับชิ้นส่วนภายใน การสึกหรอเร็วกว่าปกติก็จะตามมาโดยเฉพาะกับเครื่องยนต์เทอร์โบ

การ อุ่นเครื่องก่อนดับที่ถูกต้องนั้นไม่ใช่การอุ่นเครื่องอยู่กับที่เพราะจะก่อ ปัญหาเช่นเดียวกับการอุ่นเครื่องตอนเช้า วิธีก็คือก่อนถึงที่หมายสักประมาณ 2-3 กิโลเมตร ให้ลดความเร็วลง โดยวิ่งความเร็วคงที่พยายามให้รอบเครื่องยนต์ต่ำๆ ระบบระบายความร้อนจะได้ทำงานได้อย่างเต็มที่ ยิ่งใช้ความเร็วสูงต่อเนื่องมานานก็ต้องเพิ่มระยะทางในการอุ่นเครื่องให้นาน ขึ้น เพราะเครื่องยนต์มีขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาในการลดอุณหภูมิพอสมควร ถ้าปฏิบัติแบบนี้สามารถดับเครื่องยนต์ได้เลยทันที

3. การใช้เกียร์อัตโนมัติ

ถ้า เป็นรถรุ่นเก่าหน่อยที่ระบบเกียร์ยังไม่ฉลาดมากนัก จำเป็นต้องเปลี่ยนลงมาเกียร์ต่ำทั้งขึ้นและลงเขา เพื่อรักษารอบของเครื่องยนต์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ตัวรถจะได้มีแรงบิดพอสำหรับการฉุดลาก

เกียร์ รุ่นเก่านั้นเมื่อรอบเครื่องยนต์และแรงดันน้ำมันถึง มันก็จะเปลี่ยนเป็นเกียร์สูงขึ้น ทำให้รถไม่มีแรงหรือไม่มีเอ็นจิ้น เบรก ส่วนรถสมัยใหม่ไม่ต้องทำอะไรเลยเพราะระบบจะรู้ทันทีว่าคุณกำลังขึ้นหรือลง เนินอยู่ และจะทำการเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์เหล่านั้น โดยที่คุณไม่ต้องพะวงกับการทำงานของมันเลย

ข้อ นี้จึงต้องแยกเป็น 2 ประเด็นด้วยกัน คือ รถเก่าหรือระบบควบคุมเกียร์ไม่ทันสมัยต้องเปลี่ยนลงเกียร์ต่ำ ส่วนรถใหม่ๆ ลองสังเกตดูเวลาเวลาขึ้นเขาแล้วเกียร์เปลี่ยนเป็นเกียร์สูง เวลาลงเขาก็ไม่คาเกียร์เอาไว้ให้มีแต่จะเปลี่ยนเป็นเกียร์สูงขึ้น ถ้าเป็นแบบนี้ก็ต้องเปลี่ยนลงมาเป็นเกียร์ต่ำเพื่อความปลอดภัยของเครื่อง ยนต์และเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่

นอกจากปัญหาทางด้านสังคมแล้วยังมีปัญหาเรื่องของการใช้งานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะมือใหม่มักจะไม่ค่อยรู้เรื่องการใช้งานและการบำรุงรักษาเลย หลายครั้งปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากความบกพร่องของตัวรถ แต่มันมาจากปัญหาเรื่องของความไม่รู้และการใช้งานผิดวิธี รวมถึงการได้รับการปลูกฝังแบบผิดๆ มาโดยตลอด อะไรบ้างที่เป็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการใช้งานตัวรถ รวมถึงการใช้ผิดวิธี ลองมาดูแล้วปรับเปลี่ยนลักษณะการใช้งานเสียใหม่ เพื่อให้รถยนต์คันโปรดสามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน  1. น้ำมันเครื่อง  สมัยก่อนสูตรการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง 3,000 กิโลเมตรในเมือง และ 5,000 กิโลเมตรเดินทางไกล ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะว่าสมัยนั้นเรื่องของโลหะวิทยายังต่ำมากๆ สังเกตได้จากรถยนต์ต้องเปลี่ยนแหวนลูกสูบ ต้องบดวาล์ว หรือทำ Top Overhall กันที่ประมาณ 1.5 แสนกิโลเมตรเท่านั้นเอง ในขณะที่รถยุคหลังเครื่องยนต์สามารถใช้งานได้มากกว่า 3 แสนกิโลเมตร โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนแหวน  น้ำมันเครื่องก็เช่นกันมีการพัฒนาควบคู่กันโดยตลอด มีประสิทธิภาพและอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นมาก อย่าไปหลงอยู่กับการยึดติดเก่าๆ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีด้านต่างๆ พัฒนาไปไกล จากงานวิจัยพบว่าน้ำมันเครื่องเกรดธรรมดาในปัจจุบันนั้นมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเดิมเป็นเท่าตัว แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเร็วเกินไป นอกจากทำให้สิ้นเปลืองแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเนื่องจากน้ำมันเครื่องเก่าเป็นขยะพิษที่ไม่ย่อยสลายในธรรมชาติต้องผ่านกระบวนการทำลายอย่างถูกต้อง  รถยนต์หลายยี่ห้อที่ใช้น้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา โดยระบุว่าสามารถใช้งานได้ถึง 1 แสนกิโลเมตร แต่คนส่วนมากไม่เชื่อเพราะคิดว่าบริษัทรถยนต์ต้องการให้เครื่องหลวมเร็ว ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะจุดประสงค์หลักต้องการลดขยะพิษ และลดค่าดูแลรักษาตามระยะให้ถูกลง  การใช้น้ำมันเครื่องที่ถูกต้องนั้นต้องดูจากฉลากข้างกระป๋องเป็นสำคัญ บางยี่ห้อจะระบุไว้ว่าให้เปลี่ยนที่ระยะทาง 10,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน ลองเปรียบเทียบดูจากฉลากของแต่ละยี่ห้อ แล้วเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความคุ้มค่านอกจากจะประหยัดเงินแล้วยังช่วยลดขยะพิษได้อีกทางหนึ่ง  2. อุ่นเครื่อง 3-5 นาที  เครื่องยนต์ประกอบด้วยโลหะหลายชนิดด้วยกัน การออกแบบชิ้นส่วนจะมีการเผื่อระยะให้โลหะบางชิ้นขยายตัวให้ฟิตพอดีกับอีกชิ้นส่วนหนึ่ง ถ้าไม่อุ่นให้เครื่องยนต์ถึงอุณหภูมิใช้งานก่อน จะทำให้เกิดการสึกหรอมากกว่าปกติเนื่องจากชิ้นส่วนมีการแกว่งหรือเขย่า  แต่การอุ่นเครื่องให้ถึงอุณหภูมิใช้งานนั้นไม่ควรทำโดยจอดอยู่กับที่ เพราะจะทำให้เกิดมลพิษสูงเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ การอุ่นเครื่องที่ถูกต้องคือหลังจากสตาร์ทเครื่องพอไฟโชว์ต่างๆ บนหน้าปัดดับหมด ก็พร้อมเคลื่อนที่ได้แต่ต้องแล่นช้าๆ สักครู่เพื่อให้เครื่องยนต์ถึงอุณหภูมิร้อนขึ้น เมื่อเข็มความร้อนเริ่มขยับสูงขึ้นสักประมาณครึ่งหนึ่งของระดับปกติก็สามารถเพิ่มความเร็วได้จนเข็มความร้อนชี้ในระดับปกติก็ใส่กันได้เต็มที่  เรื่องการวอร์มเครื่องยนต์นั้น ตอนเช้ายังไม่น่าหนักใจเท่าตอนจอด โดยเฉพาะพวกที่ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบการอุ่นเครื่องก่อนดับถือว่าสำคัญมากๆ ใครที่เป็นคนช่างสังเกตจะรู้ว่าหลังจากที่ขับมาด้วยความเร็วสูงๆ แล้วดับเครื่องทันที สักพักเราจะได้ยินเสียงโลหะหดตัวดังเป็นระยะๆ  เหตุผลที่ต้องทำการอุ่นเครื่องก่อนดับ เพราะว่าหลังจากดับเครื่องยนต์แล้วระบบระบายความร้อนจะไม่ทำงาน น้ำจะไม่ไหลเวียน บางยี่ห้อพัดลมไฟฟ้าอาจจะทำงานต่อระยะเวลาสั้นๆ แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรมาก  เมื่อดับเครื่องอุณหภูมิจะสูงขึ้นอีกราว 20-25 องศาเซลเซียส และอาจสูงกว่านั้นถ้าขับแช่มาด้วยรอบเครื่องสูงๆ เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นโลหะก็จะขยายตัวมากขึ้น นานๆ ไปอาจทำให้เกิดความเครียดขึ้นกับชิ้นส่วนภายใน การสึกหรอเร็วกว่าปกติก็จะตามมาโดยเฉพาะกับเครื่องยนต์เทอร์โบ  การอุ่นเครื่องก่อนดับที่ถูกต้องนั้นไม่ใช่การอุ่นเครื่องอยู่กับที่เพราะจะก่อปัญหาเช่นเดียวกับการอุ่นเครื่องตอนเช้า วิธีก็คือก่อนถึงที่หมายสักประมาณ 2-3 กิโลเมตร ให้ลดความเร็วลง โดยวิ่งความเร็วคงที่พยายามให้รอบเครื่องยนต์ต่ำๆ ระบบระบายความร้อนจะได้ทำงานได้อย่างเต็มที่ ยิ่งใช้ความเร็วสูงต่อเนื่องมานานก็ต้องเพิ่มระยะทางในการอุ่นเครื่องให้นานขึ้น เพราะเครื่องยนต์มีขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาในการลดอุณหภูมิพอสมควร ถ้าปฏิบัติแบบนี้สามารถดับเครื่องยนต์ได้เลยทันที  3. การใช้เกียร์อัตโนมัติ  ถ้าเป็นรถรุ่นเก่าหน่อยที่ระบบเกียร์ยังไม่ฉลาดมากนัก จำเป็นต้องเปลี่ยนลงมาเกียร์ต่ำทั้งขึ้นและลงเขา เพื่อรักษารอบของเครื่องยนต์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ตัวรถจะได้มีแรงบิดพอสำหรับการฉุดลาก  เกียร์รุ่นเก่านั้นเมื่อรอบเครื่องยนต์และแรงดันน้ำมันถึง มันก็จะเปลี่ยนเป็นเกียร์สูงขึ้น ทำให้รถไม่มีแรงหรือไม่มีเอ็นจิ้น เบรก ส่วนรถสมัยใหม่ไม่ต้องทำอะไรเลยเพราะระบบจะรู้ทันทีว่าคุณกำลังขึ้นหรือลงเนินอยู่ และจะทำการเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์เหล่านั้น โดยที่คุณไม่ต้องพะวงกับการทำงานของมันเลย  ข้อนี้จึงต้องแยกเป็น 2 ประเด็นด้วยกัน คือ รถเก่าหรือระบบควบคุมเกียร์ไม่ทันสมัยต้องเปลี่ยนลงเกียร์ต่ำ ส่วนรถใหม่ๆ ลองสังเกตดูเวลาเวลาขึ้นเขาแล้วเกียร์เปลี่ยนเป็นเกียร์สูง เวลาลงเขาก็ไม่คาเกียร์เอาไว้ให้มีแต่จะเปลี่ยนเป็นเกียร์สูงขึ้น ถ้าเป็นแบบนี้ก็ต้องเปลี่ยนลงมาเป็นเกียร์ต่ำเพื่อความปลอดภัยของเครื่องยนต์และเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่  4. รถติดไฟแดงควรใช้เกียร์ N หรือ D  ในทางปฏิบัตินั้นเกียร์ออโต้ยุคแรกๆ ยังไม่ทนทานเท่าปัจจุบัน รวมทั้งใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่มีแรงบิดสูง ยุคนั้นกลไกการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ยังโบราณอยู่ การเหยียบเบรกแช่เมื่อรถติดไฟแดงในตำแหน่งเกียร์ D จึงเหมาะสม อีกเหตุผลหนึ่งในยุคนั้นติดไฟแดงกันช่วงเวลาสั้นๆ  ในรถยุคปัจจุบันกลไกการเปลี่ยนเกียร์พัฒนาไปมาก โดยเฉพาะความทนทานและที่พัฒนาควบคู่กันไป คือรถติดนานขึ้น การเปลี่ยนไปใช้เกียร์ N มีความปลอดภัยกว่าหลายๆ ด้าน ประเด็นแรกคือเรื่องของการสึกหรอในระบบเกียร์จะต่ำกว่า  เคยใช้เครื่องมือตรวจสอบของศูนย์บริการทดสอบ ปรากฏว่าจอดคาเกียร์ D ไว้ไม่ถึง 3 นาทีความร้อนของน้ำมันเกียร์เพิ่มขึ้นมาหลายองศา การคาเกียร์ D ยังเป็นการสร้างความเครียดให้กับชิ้นส่วนที่มีการเคลื่อนไหวของช่วงล่างทั้งหมด ทำให้อายุการใช้งานของบู๊ชยางต่างๆ และชิ้นส่วนที่ต่อมาจากเกียร์สึกหรอเร็วกว่าปกติ  อัตราที่มองข้ามและทำให้มีคนเสียชีวิตมาแล้ว คือกรณีของรถที่พุ่งไปชนคันหน้า ไม่ก็พุ่งชนคน เพราะจังหวะที่เผลอปล่อยเบรก หรือขึ้นเบรกมือไว้ไม่สุดจะทำให้รถพุ่งไปข้างหน้าได้ เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานควรเข้าเกียร์ N และดึงเบรกมือไว้เพื่อป้องกันไม่ให้รถไหล  5. รู้จักอ่านคู่มือประจำรถ  เวลาซื้อมือถือหรืออุปกรณ์อะไรใหม่ๆ มาก็ยอมเสียเวลาอ่านคู่มือการใช้งานได้ แต่คู่มือรถกลับไม่มีใครให้ความสนใจ บางคนใช้รถมา 4-5 ปีไม่เคยเปิดอ่านคู่มือเลยก็มี ในคู่มือประจำรถจะบอกถึงวิธีการใช้งานที่ถูกต้อง การบำรุงรักษา และการแก้ไขเบื้องต้น  ดังนั้นเมื่อมีคู่มือต้องศึกษาอย่างละเอียด และคู่มือของรถแต่ละรุ่นไม่สามารถใช้เป็นบรรทัดฐานสำหรับรถรุ่นอื่นได้ แม้ว่าจะเป็นรถค่ายเดียวกันก็ตามที เพราะอุปกรณ์หลายอย่างออกแบบมาไม่เหมือนกัน หรือใช้เทคโนโลยีคนละชนิดเพราะฉะนั้นควรใส่ใจในการศึกษาอ่านคู่มือประจำรถให้ดี  เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่มือใหม่ไม่เคยรู้ และมือเก่ากว่าครึ่งก็ไม่รู้เหมือนกัน แถมยังถ่ายทอดมายังมือใหม่แบบผิดๆ อีกเช่นกัน การปรับเปลี่ยนทัศนคติและศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายจราจร มารยาทบนท้องถนน และการดูแลรักษารถยนต์ เป็นสิ่งที่ควรทำเพราะจะทำให้คุณใช้งานรถยนต์ได้อย่างยาวนาน และมีส่วนช่วยให้ปัญหาจราจรลดลง ที่มา: http://www.gmlive.com/5-%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1/

4. รถติดไฟแดงควรใช้เกียร์ N หรือ D

ใน ทางปฏิบัตินั้นเกียร์ออโต้ยุคแรกๆ ยังไม่ทนทานเท่าปัจจุบัน รวมทั้งใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่มีแรงบิดสูง ยุคนั้นกลไกการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ยังโบราณอยู่ การเหยียบเบรกแช่เมื่อรถติดไฟแดงในตำแหน่งเกียร์ D จึงเหมาะสม อีกเหตุผลหนึ่งในยุคนั้นติดไฟแดงกันช่วงเวลาสั้นๆ

ใน รถยุคปัจจุบันกลไกการเปลี่ยนเกียร์พัฒนาไปมาก โดยเฉพาะความทนทานและที่พัฒนาควบคู่กันไป คือรถติดนานขึ้น การเปลี่ยนไปใช้เกียร์ N มีความปลอดภัยกว่าหลายๆ ด้าน ประเด็นแรกคือเรื่องของการสึกหรอในระบบเกียร์จะต่ำกว่า

เคย ใช้เครื่องมือตรวจสอบของศูนย์บริการทดสอบ ปรากฏว่าจอดคาเกียร์ D ไว้ไม่ถึง 3 นาทีความร้อนของน้ำมันเกียร์เพิ่มขึ้นมาหลายองศา การคาเกียร์ D ยังเป็นการสร้างความเครียดให้กับชิ้นส่วนที่มีการเคลื่อนไหวของช่วงล่างทั้ง หมด ทำให้อายุการใช้งานของบู๊ชยางต่างๆ และชิ้นส่วนที่ต่อมาจากเกียร์สึกหรอเร็วกว่าปกติ

อัตรา ที่มองข้ามและทำให้มีคนเสียชีวิตมาแล้ว คือกรณีของรถที่พุ่งไปชนคันหน้า ไม่ก็พุ่งชนคน เพราะจังหวะที่เผลอปล่อยเบรก หรือขึ้นเบรกมือไว้ไม่สุดจะทำให้รถพุ่งไปข้างหน้าได้ เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานควรเข้าเกียร์ N และดึงเบรกมือไว้เพื่อป้องกันไม่ให้รถไหล

นอกจากปัญหาทางด้านสังคมแล้วยังมีปัญหาเรื่องของการใช้งานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะมือใหม่มักจะไม่ค่อยรู้เรื่องการใช้งานและการบำรุงรักษาเลย หลายครั้งปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากความบกพร่องของตัวรถ แต่มันมาจากปัญหาเรื่องของความไม่รู้และการใช้งานผิดวิธี รวมถึงการได้รับการปลูกฝังแบบผิดๆ มาโดยตลอด อะไรบ้างที่เป็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการใช้งานตัวรถ รวมถึงการใช้ผิดวิธี ลองมาดูแล้วปรับเปลี่ยนลักษณะการใช้งานเสียใหม่ เพื่อให้รถยนต์คันโปรดสามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน  1. น้ำมันเครื่อง  สมัยก่อนสูตรการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง 3,000 กิโลเมตรในเมือง และ 5,000 กิโลเมตรเดินทางไกล ถือว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะว่าสมัยนั้นเรื่องของโลหะวิทยายังต่ำมากๆ สังเกตได้จากรถยนต์ต้องเปลี่ยนแหวนลูกสูบ ต้องบดวาล์ว หรือทำ Top Overhall กันที่ประมาณ 1.5 แสนกิโลเมตรเท่านั้นเอง ในขณะที่รถยุคหลังเครื่องยนต์สามารถใช้งานได้มากกว่า 3 แสนกิโลเมตร โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนแหวน  น้ำมันเครื่องก็เช่นกันมีการพัฒนาควบคู่กันโดยตลอด มีประสิทธิภาพและอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นมาก อย่าไปหลงอยู่กับการยึดติดเก่าๆ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีด้านต่างๆ พัฒนาไปไกล จากงานวิจัยพบว่าน้ำมันเครื่องเกรดธรรมดาในปัจจุบันนั้นมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเดิมเป็นเท่าตัว แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเร็วเกินไป นอกจากทำให้สิ้นเปลืองแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเนื่องจากน้ำมันเครื่องเก่าเป็นขยะพิษที่ไม่ย่อยสลายในธรรมชาติต้องผ่านกระบวนการทำลายอย่างถูกต้อง  รถยนต์หลายยี่ห้อที่ใช้น้ำมันเครื่องเกรดธรรมดา โดยระบุว่าสามารถใช้งานได้ถึง 1 แสนกิโลเมตร แต่คนส่วนมากไม่เชื่อเพราะคิดว่าบริษัทรถยนต์ต้องการให้เครื่องหลวมเร็ว ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะจุดประสงค์หลักต้องการลดขยะพิษ และลดค่าดูแลรักษาตามระยะให้ถูกลง  การใช้น้ำมันเครื่องที่ถูกต้องนั้นต้องดูจากฉลากข้างกระป๋องเป็นสำคัญ บางยี่ห้อจะระบุไว้ว่าให้เปลี่ยนที่ระยะทาง 10,000 กิโลเมตร หรือทุก 6 เดือน ลองเปรียบเทียบดูจากฉลากของแต่ละยี่ห้อ แล้วเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความคุ้มค่านอกจากจะประหยัดเงินแล้วยังช่วยลดขยะพิษได้อีกทางหนึ่ง  2. อุ่นเครื่อง 3-5 นาที  เครื่องยนต์ประกอบด้วยโลหะหลายชนิดด้วยกัน การออกแบบชิ้นส่วนจะมีการเผื่อระยะให้โลหะบางชิ้นขยายตัวให้ฟิตพอดีกับอีกชิ้นส่วนหนึ่ง ถ้าไม่อุ่นให้เครื่องยนต์ถึงอุณหภูมิใช้งานก่อน จะทำให้เกิดการสึกหรอมากกว่าปกติเนื่องจากชิ้นส่วนมีการแกว่งหรือเขย่า  แต่การอุ่นเครื่องให้ถึงอุณหภูมิใช้งานนั้นไม่ควรทำโดยจอดอยู่กับที่ เพราะจะทำให้เกิดมลพิษสูงเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ การอุ่นเครื่องที่ถูกต้องคือหลังจากสตาร์ทเครื่องพอไฟโชว์ต่างๆ บนหน้าปัดดับหมด ก็พร้อมเคลื่อนที่ได้แต่ต้องแล่นช้าๆ สักครู่เพื่อให้เครื่องยนต์ถึงอุณหภูมิร้อนขึ้น เมื่อเข็มความร้อนเริ่มขยับสูงขึ้นสักประมาณครึ่งหนึ่งของระดับปกติก็สามารถเพิ่มความเร็วได้จนเข็มความร้อนชี้ในระดับปกติก็ใส่กันได้เต็มที่  เรื่องการวอร์มเครื่องยนต์นั้น ตอนเช้ายังไม่น่าหนักใจเท่าตอนจอด โดยเฉพาะพวกที่ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบการอุ่นเครื่องก่อนดับถือว่าสำคัญมากๆ ใครที่เป็นคนช่างสังเกตจะรู้ว่าหลังจากที่ขับมาด้วยความเร็วสูงๆ แล้วดับเครื่องทันที สักพักเราจะได้ยินเสียงโลหะหดตัวดังเป็นระยะๆ  เหตุผลที่ต้องทำการอุ่นเครื่องก่อนดับ เพราะว่าหลังจากดับเครื่องยนต์แล้วระบบระบายความร้อนจะไม่ทำงาน น้ำจะไม่ไหลเวียน บางยี่ห้อพัดลมไฟฟ้าอาจจะทำงานต่อระยะเวลาสั้นๆ แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรมาก  เมื่อดับเครื่องอุณหภูมิจะสูงขึ้นอีกราว 20-25 องศาเซลเซียส และอาจสูงกว่านั้นถ้าขับแช่มาด้วยรอบเครื่องสูงๆ เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นโลหะก็จะขยายตัวมากขึ้น นานๆ ไปอาจทำให้เกิดความเครียดขึ้นกับชิ้นส่วนภายใน การสึกหรอเร็วกว่าปกติก็จะตามมาโดยเฉพาะกับเครื่องยนต์เทอร์โบ  การอุ่นเครื่องก่อนดับที่ถูกต้องนั้นไม่ใช่การอุ่นเครื่องอยู่กับที่เพราะจะก่อปัญหาเช่นเดียวกับการอุ่นเครื่องตอนเช้า วิธีก็คือก่อนถึงที่หมายสักประมาณ 2-3 กิโลเมตร ให้ลดความเร็วลง โดยวิ่งความเร็วคงที่พยายามให้รอบเครื่องยนต์ต่ำๆ ระบบระบายความร้อนจะได้ทำงานได้อย่างเต็มที่ ยิ่งใช้ความเร็วสูงต่อเนื่องมานานก็ต้องเพิ่มระยะทางในการอุ่นเครื่องให้นานขึ้น เพราะเครื่องยนต์มีขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาในการลดอุณหภูมิพอสมควร ถ้าปฏิบัติแบบนี้สามารถดับเครื่องยนต์ได้เลยทันที  3. การใช้เกียร์อัตโนมัติ  ถ้าเป็นรถรุ่นเก่าหน่อยที่ระบบเกียร์ยังไม่ฉลาดมากนัก จำเป็นต้องเปลี่ยนลงมาเกียร์ต่ำทั้งขึ้นและลงเขา เพื่อรักษารอบของเครื่องยนต์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ตัวรถจะได้มีแรงบิดพอสำหรับการฉุดลาก  เกียร์รุ่นเก่านั้นเมื่อรอบเครื่องยนต์และแรงดันน้ำมันถึง มันก็จะเปลี่ยนเป็นเกียร์สูงขึ้น ทำให้รถไม่มีแรงหรือไม่มีเอ็นจิ้น เบรก ส่วนรถสมัยใหม่ไม่ต้องทำอะไรเลยเพราะระบบจะรู้ทันทีว่าคุณกำลังขึ้นหรือลงเนินอยู่ และจะทำการเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์เหล่านั้น โดยที่คุณไม่ต้องพะวงกับการทำงานของมันเลย  ข้อนี้จึงต้องแยกเป็น 2 ประเด็นด้วยกัน คือ รถเก่าหรือระบบควบคุมเกียร์ไม่ทันสมัยต้องเปลี่ยนลงเกียร์ต่ำ ส่วนรถใหม่ๆ ลองสังเกตดูเวลาเวลาขึ้นเขาแล้วเกียร์เปลี่ยนเป็นเกียร์สูง เวลาลงเขาก็ไม่คาเกียร์เอาไว้ให้มีแต่จะเปลี่ยนเป็นเกียร์สูงขึ้น ถ้าเป็นแบบนี้ก็ต้องเปลี่ยนลงมาเป็นเกียร์ต่ำเพื่อความปลอดภัยของเครื่องยนต์และเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่  4. รถติดไฟแดงควรใช้เกียร์ N หรือ D  ในทางปฏิบัตินั้นเกียร์ออโต้ยุคแรกๆ ยังไม่ทนทานเท่าปัจจุบัน รวมทั้งใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่มีแรงบิดสูง ยุคนั้นกลไกการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ยังโบราณอยู่ การเหยียบเบรกแช่เมื่อรถติดไฟแดงในตำแหน่งเกียร์ D จึงเหมาะสม อีกเหตุผลหนึ่งในยุคนั้นติดไฟแดงกันช่วงเวลาสั้นๆ  ในรถยุคปัจจุบันกลไกการเปลี่ยนเกียร์พัฒนาไปมาก โดยเฉพาะความทนทานและที่พัฒนาควบคู่กันไป คือรถติดนานขึ้น การเปลี่ยนไปใช้เกียร์ N มีความปลอดภัยกว่าหลายๆ ด้าน ประเด็นแรกคือเรื่องของการสึกหรอในระบบเกียร์จะต่ำกว่า  เคยใช้เครื่องมือตรวจสอบของศูนย์บริการทดสอบ ปรากฏว่าจอดคาเกียร์ D ไว้ไม่ถึง 3 นาทีความร้อนของน้ำมันเกียร์เพิ่มขึ้นมาหลายองศา การคาเกียร์ D ยังเป็นการสร้างความเครียดให้กับชิ้นส่วนที่มีการเคลื่อนไหวของช่วงล่างทั้งหมด ทำให้อายุการใช้งานของบู๊ชยางต่างๆ และชิ้นส่วนที่ต่อมาจากเกียร์สึกหรอเร็วกว่าปกติ  อัตราที่มองข้ามและทำให้มีคนเสียชีวิตมาแล้ว คือกรณีของรถที่พุ่งไปชนคันหน้า ไม่ก็พุ่งชนคน เพราะจังหวะที่เผลอปล่อยเบรก หรือขึ้นเบรกมือไว้ไม่สุดจะทำให้รถพุ่งไปข้างหน้าได้ เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานควรเข้าเกียร์ N และดึงเบรกมือไว้เพื่อป้องกันไม่ให้รถไหล  5. รู้จักอ่านคู่มือประจำรถ  เวลาซื้อมือถือหรืออุปกรณ์อะไรใหม่ๆ มาก็ยอมเสียเวลาอ่านคู่มือการใช้งานได้ แต่คู่มือรถกลับไม่มีใครให้ความสนใจ บางคนใช้รถมา 4-5 ปีไม่เคยเปิดอ่านคู่มือเลยก็มี ในคู่มือประจำรถจะบอกถึงวิธีการใช้งานที่ถูกต้อง การบำรุงรักษา และการแก้ไขเบื้องต้น  ดังนั้นเมื่อมีคู่มือต้องศึกษาอย่างละเอียด และคู่มือของรถแต่ละรุ่นไม่สามารถใช้เป็นบรรทัดฐานสำหรับรถรุ่นอื่นได้ แม้ว่าจะเป็นรถค่ายเดียวกันก็ตามที เพราะอุปกรณ์หลายอย่างออกแบบมาไม่เหมือนกัน หรือใช้เทคโนโลยีคนละชนิดเพราะฉะนั้นควรใส่ใจในการศึกษาอ่านคู่มือประจำรถให้ดี  เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่มือใหม่ไม่เคยรู้ และมือเก่ากว่าครึ่งก็ไม่รู้เหมือนกัน แถมยังถ่ายทอดมายังมือใหม่แบบผิดๆ อีกเช่นกัน การปรับเปลี่ยนทัศนคติและศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายจราจร มารยาทบนท้องถนน และการดูแลรักษารถยนต์ เป็นสิ่งที่ควรทำเพราะจะทำให้คุณใช้งานรถยนต์ได้อย่างยาวนาน และมีส่วนช่วยให้ปัญหาจราจรลดลง ที่มา: http://www.gmlive.com/5-%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1/

5. รู้จักอ่านคู่มือประจำรถ

เวลา ซื้อมือถือหรืออุปกรณ์อะไรใหม่ๆ มาก็ยอมเสียเวลาอ่านคู่มือการใช้งานได้ แต่คู่มือรถกลับไม่มีใครให้ความสนใจ บางคนใช้รถมา 4-5 ปีไม่เคยเปิดอ่านคู่มือเลยก็มี ในคู่มือประจำรถจะบอกถึงวิธีการใช้งานที่ถูกต้อง การบำรุงรักษา และการแก้ไขเบื้องต้น

ดัง นั้นเมื่อมีคู่มือต้องศึกษาอย่างละเอียด และคู่มือของรถแต่ละรุ่นไม่สามารถใช้เป็นบรรทัดฐานสำหรับรถรุ่นอื่นได้ แม้ว่าจะเป็นรถค่ายเดียวกันก็ตามที เพราะอุปกรณ์หลายอย่างออกแบบมาไม่เหมือนกัน หรือใช้เทคโนโลยีคนละชนิดเพราะฉะนั้นควรใส่ใจในการศึกษาอ่านคู่มือประจำรถ ให้ดี

เรื่อง ทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่มือใหม่ไม่เคยรู้ และมือเก่ากว่าครึ่งก็ไม่รู้เหมือนกัน แถมยังถ่ายทอดมายังมือใหม่แบบผิดๆ อีกเช่นกัน การปรับเปลี่ยนทัศนคติและศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายจราจร มารยาทบนท้องถนน และการดูแลรักษารถยนต์ เป็นสิ่งที่ควรทำเพราะจะทำให้คุณใช้งานรถยนต์ได้อย่างยาวนาน และมีส่วนช่วยให้ปัญหาจราจรลดลง

 
Go to top