แพทย์แผนไทย โคราช รักษาโรค SLE ไขความลับวิธีรักษาโรคแพ้ภูมิตัวเองหรือโรคพุ่มพวง ( SLE)
รถตู้ให้เช่า ร้อยเอ็ด
หมอเอ ณัฐปราชญ์ คลินิก

korat_king  เป็นเวลายาวนานถึง 66 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองแผ่นดินโดยธรรม แม้ทุกวันนี้ พระองค์มิได้เสด็จพระราชดำเนินออกไปทรงงานตามสถานที่ต่างๆ ได้เหมือนก่อน

หากแต่ "องค์ความรู้" ที่ทรงใช้บำบัดทุกข์ บำรุงสุขราษฎรนั้น ยังคงขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ภายใต้หน่วยงานในโครงการพระราชดำริ

 ม.ร.ว. ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง หนึ่งในผู้ที่นำองค์ความรู้ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปช่วยเหลือชาว บ้าน ให้นิยามองค์ความรู้ของพระองค์ว่าเป็น "ศาสตร์พระราชา"

"มูลนิธิ แม่ฟ้าหลวง ตั้งขึ้นมาเพราะสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่พสกนิกรชาวไทยขนานพระนามว่า ′สมเด็จย่า′ ซึ่งเป็นแม่ของพระเจ้าแผ่นดิน ทอดพระเนตรเห็นความเจ็บป่วยของคน ทอดพระเนตรเห็นความยากจน รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่แย่ลง ทรงเห็นว่า คนไม่มีความสุข ทรงมีรับสั่งว่า จะทำอย่างไรถึงจะช่วยเขาได้ ทั้งเจ็บทั้งจน เรามีมากกว่าเขา ทำอย่างไรที่จะช่วยเขาได้ไหม"
korat_king
จากคำรับสั่งนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงได้ถือกำเนิดขึ้น โดยมุ่งแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน โดยแก้เจ็บ-แก้จน-แก้ความไม่รู้ เพื่อให้มีความสุข

"4 ข้อโดยองค์รวม เจ็บ-จน-ไม่รู้-มีความสุข นี่คือหลักการทรงงานแก้ปัญหาของสมเด็จย่าบนดอยตุง"

จาก วันนั้นถึงวันนี้ การพัฒนาพื้นที่ดอยตุงประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ทั้งการแก้ปัญหาความเป็นอยู่ของราษฎรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือ การแก้ปัญหายาเสพติด

จากเดิมที่ดอยตุงปลูกฝิ่นปีละ 100 ล้านตัน แต่ปัจจุบันดอยตุงไม่มียาเสพติดมาถึง 25 ปี

"นั่น คือความสำเร็จของการพัฒนา" ม.ร.ว.ดิศนัดดาบอก ก่อนเล่าเบื้องหลังความสำเร็จให้ฟังว่า หลักการพัฒนาที่สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงนำมาใช้พัฒนาดอยตุง เป็นหลักการพัฒนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9

"สมเด็จ ย่าทรงศึกษาโครงการของพระเจ้าอยู่หัว 3 โครงการ เมื่อปี 2530 เสด็จฯไปทรงศึกษาด้วยพระองค์เองที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ฯ จ.เชียงใหม่ จากนั้นมีรับสั่งให้สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ไปทรงศึกษาดูงานที่โครงการหลวงดอยอ่างขาง แล้วกลับมาเล่าถวาย และสุดท้าย มีรับสั่งให้ผมไปศึกษาดูงานโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา"

และจากนั้นมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงก็น้อมนำศาสตร์พระราชามาปฏิบัติ

"ศาสตร์ พระราชา คือ การลงไปเรียนรู้จากชุมชน พระเจ้าอยู่หัวทรงทำให้เห็นมาตลอด หรือแม้แต่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงไปนั่งคุยกับชาวบ้าน ผ้าเอามาดูทีละชิ้นเลย แล้วบอกว่า อันนี้ดี อันนี้ไม่ดี และควรจะทำยังไงต่อ คุณภาพของผ้าจึงดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่มีพระองค์ ป่านนี้ผ้าไหมคงสูญหายไปจากเมืองไทยแล้ว และนี่ก็คือ ศาสตร์พระราชินี"

ไม่ เพียงเท่านี้ ผู้ทำงานสนองคุณแผ่นดินมาเกือบ 45 ปี บอกว่า นอกจากศาสตร์พระราชา ศาสตร์พระราชินีแล้ว ยังมีศาสตร์สมเด็จย่า ศาสตร์สมเด็จพระเทพฯ



โดยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็น "ผู้นำ" ศาสตร์ทุกศาสตร์

องค์ความรู้ของศาสตร์พระราชาที่ ม.ร.ว.ดิศนัดดาย้ำว่าสำคัญคือ การลงพื้นที่ไปดูปัญหาของชาวบ้านคืออะไร ความต้องการของชาวบ้านคืออะไร

"เมื่อ เรารู้ว่า ปัญหาของเขาคืออะไร ความต้องการของเขาคืออะไร แล้วเราก็มาคิด เป็นเสนาธิการให้เขา เป็นลูกน้องชาวบ้าน ชาวบ้านเป็นนายเรา ไม่ใช่เราเป็นนายชาวบ้าน และเราก็เอาศาสตร์ทั้ง 4 ศาสตร์มาคิด เอามาแก้ปัญหาให้เขา ว่าปัญหาอย่างนี้ เราจะแก้อย่างไร ความต้องการอย่างนี้ต้องแก้อย่างไร เอาโครงการพระราชดำริของพระองค์ไหนมาแก้จุดนี้ เอาโครงการพระราชดำริพระองค์ไหนมาแก้จุดนั้น

"เมื่อศึกษาข้อมูลอย่าง ถ่องแท้แล้ว ก็นำผลการศึกษาส่งคืนให้ชุมชนว่า สิ่งที่บอกมาว่า ปัญหาคุณอย่างนี้ ความต้องการคุณอย่างนี้ ผมได้ศึกษาอย่างถ่องแท้แล้วจากศาสตร์พระราชา พระราชินี สมเด็จย่า สมเด็จพระเทพฯ น่าจะออกมาเป็นอย่างนี้ๆ ดังตัวอย่างที่โครงการนี้ โครงการนั้นที่จะแก้ได้ ที่ผมบอกจะแก้ได้อย่างนี้ ผมถามว่าจริงไหม คุณเชื่อไหม และคุณเอาไหม

"และถ้าเขาเอา เราก็พาเขาไปดูโครงการของพระองค์ท่าน เพื่อให้เขาไปเห็นและไปสัมผัส เมื่อสัมผัสแล้ว คราวนี้เขาจะตัดสินใจได้ ไม่มีใครหรอกครับที่โง่ ชาวบ้านขอใช้คำว่า ′โคตรฉลาด′ แต่เขาไม่มีโอกาสได้เรียนรู้

"ดัง นั้น ถ้าเราเอาศาสตร์พระราชา ศาสตร์พระราชินีไปแตกประเด็นกับเขา เขามีปัญญาแก้ แล้วเขาจะลุกขึ้นมาทำของเขาเอง เพราะเขารู้ว่า นี่คือสิ่งที่จะแก้ เป็นการ ′เกาถูกที่คัน′ และเขาเป็นคนตัดสินใจ ไม่ใช่เรา

"นี่คือการแก้ปัญหาที่ถูกต้องที่สุด มันใช่!! แต่คนไม่เข้าใจ และน่าเสียดาย!! เพราะเป็นศาสตร์ที่ช่วยคนให้หลุดพ้นจากทุกข์โศกต่างๆ นานา จากหนี้จากสิน"

เมื่อเอ่ยถึงหนี้สิน เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง บอกว่า ถ้าไปทั่วประเทศไทย เข้าทุกหมู่บ้านที่เข้าได้ ถามสิแต่ละบ้านเขาต้องการอะไร รู้ไหม 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ตอบว่าอย่างไร

"เขาต้องการหมดหนี้!! เขาขอแค่นี้ เขาไม่ต้องการขอรวย นี่คือสิ่งที่ชาวบ้าน 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ต้องการ

"ไม่ ใช่ผ่อนชำระหนี้ให้เขา แต่ต้องเปลี่ยนมาทำยังไงให้เขาลุกขึ้นมา และทำงานเพิ่มผลผลิตให้ได้มากกว่าเก่า เช่น จากทำนาได้ข้าว 30 ถัง เราเข้าไปช่วยให้เขาทำได้เป็น 40 ถัง 45 ถัง หรือ 50 ถัง"

สิ่งสำคัญให้การแก้ปัญหา "หมดหนี้" ก็คือ "เกาให้ถูกที่คัน"

ข้อ แรกของการแก้ปัญหา "หนี้" ที่ ม.ร.ว.ดิศนัดดาแปลออกมาจากศาสตร์พระราชาคือ "อยู่ให้รอด" หมายถึง หนี้เดิมยังมีอยู่ แต่ไม่เพิ่มหนี้ และลดรายจ่าย

"สเต็ป (step) แรก วางไว้ 2 ปี ส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก เป็นการปลูกเพื่อยุติการใช้จ่าย ไม่ต้องซื้อ เมื่อเหลือค่อยไปขาย เป็นการเซฟรายจ่าย แล้วให้เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู นี่คือการอยู่รอดโดยไม่ต้องซื้อกิน


ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล



"สเต็ป ที่สอง เข้าสู่ช่วงปีที่ 3-4 ผมเรียกว่า อยู่อย่างเพียงพอและพอเพียง คือ เมื่อลดรายจ่ายจากการปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูกแล้ว ชีวิตอยู่ดีมีสุขขึ้น เพราะไม่ต้องกู้เงินมาใช้จ่ายแล้ว และที่สำคัญบางคนอาจใช้หนี้ได้ครึ่งหนึ่ง หรือใช้หนี้หมด

"มาถึงตรง นี้อาจคิดว่าศาสตร์พระราชาจบแล้ว ยังมีอีก ต้องไปสเต็ปที่สาม คือ ถ้ามีผลกระทบข้างนอกเข้ามา ต้องอยู่ได้ไม่เดือดร้อน นั่นหมายถึงว่า อยู่ได้อย่างยั่งยืน

"และสุดท้าย เริ่มมีเงินออม และถ้าดีมากๆ อาจจะผ่อนส่งรถกระบะได้แล้ว แล้วถ้ามีรถกระบะ และพอแล้วไม่อยากได้อะไรเพิ่มแล้วเพราะมีทุกอย่างครบแล้ว ทั้งทีวี ตู้เย็น นี่คือเศรษฐกิจพอเพียง

"ถ้าทำอย่างนี้ได้ ครอบครัว ชาวบ้านได้อะไร ได้ความสุข คราวนี้ก็ลดช่องว่างระหว่างคนมีกับคนจน ทำยังไงให้คนจนมีโอกาสอย่างนี้บ้าง ดังนั้น เราต้องช่วยเขาให้เขาช่วยตัวเขาเอง นี่คือประเด็น และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวทรงทำช่วยเขาให้เขาช่วยตัวเอง ไม่มีเราเขาอยู่ได้

"ดังนั้น อย่าเกินตัว มีเงินมาก็จะทำนั่นทำนี่ไปเรื่อย คำว่าพออยู่ที่ไหน นี่คือสิ่งที่ศาสตร์พระราชาท่านสอนไว้ คำว่าพอของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หลักการพัฒนาของพระองค์ ถ้าสรุปกันง่ายๆ รู้จักตัวเองไหม แล้วพอในสิ่งที่ควรจะพอไหม ในความคิดของผม ความพอเพียงเป็นเรื่องที่สามัญชน ง่ายๆ อยู่กับมันง่ายๆ และคิดให้มันง่ายๆ และขอให้รู้ของจริง และเจอกับของจริงและแก้ปัญหาจริงๆ อย่าเอาสิ่งใดแอบแฝง มาบังตา อยู่ตามสิ่งที่ตัวเองอยากอยู่

"เช่น ถ้ามีบ้านแล้ว แต่อยากต่อเติมอีกสักนิด โดยไม่ได้ไปเดือดร้อนคนอื่นเขา แล้วคุณสามารถต่อเติมได้ เพื่อความโลภของเรา แต่ถ้าโลภแล้วไม่ทำความเดือดร้อนให้ตัวเอง ครอบครัว หรือคนอื่น ไม่ดือดร้อนใครเขาเลย มีก็ใช้ ไม่ใช่ว่าต้องขี้เหนียว แต่ขอให้อยู่กับพื้นฐานของมันจริงๆ ว่ามีแค่ไหน แล้วอยู่ให้มีความสุข ผมใช้คำว่าความสุข ถ้าไม่ได้ขอใครหรือปล้นคนอื่นมาซื้อ นั่นไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น คุณมีออมอยู่แล้ว แล้วคุณซื้อผิดตรงไหน

"ศาสตร์ของพระองค์ท่าน ไม่ใช่ศาสตร์สูง คือศาสตร์สามัญชนธรรมดาอย่าคิดไปไกล ไม่ใช่ฟุ้งซ่าน"

การ ดำเนินงานแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของประชาชนตามหลักการของศาสตร์พระราชา ม.ร.ว.ดิศนัดดาเห็นความสำเร็จมานับไม่ถ้วน ทุกวันนี้เขามีความสุขที่ได้เห็นคนอื่นมีความสุข

"ผมลงไปทำงานที่ อุดรธานี ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อนิดหน่อย สามีไปทำงานที่อาบูดาบี้ พอผมลงไปทำได้ 4 เดือน นิดหน่อยโทร.ไปบอกสามีให้กลับมาทำงานที่บ้าน เพราะมีงานทำแล้ว อย่างนี้คืออะไร จากครอบครัวต้องแยกกันคนละทิศละทางได้กลับมาอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องอยู่ทำงานที่โน่น 2 ปี เป็นทาสของงานเป็นคนชั้นต่ำ เพราะถ้าไม่ทำ เขามีงานให้ทำไม่กี่อย่าง คือ ค้ายา ค้าประเวณี หรือไม่ก็ไปเป็นโจรขโมย

"ดังนั้น การที่เราไปทำอย่างนี้ ทำให้ครอบครับเขาได้อยู่ด้วยกัน มันมีความหมายลึกซึ้ง นี่คือความสุขที่เงินซื้อไม่ได้"

และมิใช่ช่วยเฉพาะราษฎรคนไทยให้ลืมตาอ้าปาก และกลับมามีชีวิตที่ดีมีความสุขได้ หากยัง "ช่วยโลก" ให้อยู่ดีกินดีได้ไม่ต่างกัน

"ใน ต่างประเทศมูลนิธิฯ ของเรามีชื่อเสียงพอสมควร ทั้งที่พม่า อินโดนีเซีย อัฟกานิสถาน เอกวาดอร์ เปรู โคลอมเบีย อเมริกัน ยุโรป อย่างเมื่อวันที่ 16-20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ประเทศญี่ปุ่นเดินทางมาดูงานที่มูลนิธิของเรา 50 คน และก่อนหน้านั้น ข้าราชการพม่ามาดูงานเรา 20 กว่าคน และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี มีนโยบายให้เราไปทำงานที่พม่าช่วยแก้ปัญหาคนปลูกยาเสพติดให้เลือกปลูก เป็นเวลา 6 ปี ในงบประมาณ 350 ล้านบาท

"ส่วนที่อัฟกานิสถาน เราก็เข้าไปช่วย นี่ก็จะครบ 6 ปีแล้ว ซึ่งตอนนี้เขานำโครงการของเราเป็นนโยบายของประเทศแล้ว และเมื่อเร็วๆ นี้ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงยาเสพติดของอัฟกานิสถานก็มาดูงานอีก โดยรัฐบาลอังกฤษเป็นผู้พามา และตอนนี้องค์กรด้านควบคุมอาชญากรรมที่เกี่ยวกับยาเสพติดโลกของอเมริกันก็มา ขอให้เราไปเป็นที่ปรึกษา แก้ปัญหายาเสพติด เป็นยักษ์ใหม่ ที่อยากมาทำงานกับเรา เพราะเขาไม่เคยเห็นโครงการอย่างนี้มาก่อนในชีวิต เขาบอกว่า เป็นโครงการที่สุดยอดที่สุด"

เหตุผลที่ได้รับความสนใจมาก เช่นนี้ ม.ร.ว.ดิศนัดดาบอกว่า เพราะเขาศรัทธาที่เราแก้ปัญหาได้ โดยวิธีแก้ที่ไม่ได้ไปห้ามว่าไม่ให้ปลูก หรือเสพยาเสพติด แต่เรานำศาสตร์พระราชาไปสร้างงานให้เขาใหม่ ให้โอกาสเขาแก้ไขความยากความจน การสร้างโอกาสให้คน เมื่อสร้างให้เขาหลุดพ้นจากความยากความจน และมีโอกาสใหม่มา ไม่มีใครหรอกครับที่อยากจะไปค้ายาเสพติด มีแค่ 0.1 เปอร์เซ็นต์ของโลกที่อยากค้าขาย ซึ่งพวกค้าขายเป็นคนรวย แต่คนปลูกไม่มีใครรวยสักคนเดียว จนหมดทุกแห่งในโลกนี้"

จากการเข้า ไปช่วยเหลือนานาประเทศครั้งนี้ เพื่อให้หลุดพ้นจากความยากจน ม.ร.ว.ดิศนัดดาบอกว่า เราสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า เราเป็นประเทศผู้ให้ ไม่ใช่ให้เงินเพราะเงินคือฮาร์ดแวร์ แต่เราให้ซอฟต์แวร์

"ดูสิว่า อเมริกันใช้เงินแก้เรื่องนี้ไปกี่แสนเหรียญ แต่ของเรามีศาสตร์พระราชาที่แก้แล้วสำเร็จ ดังนั้น ไม่ใช่เงินที่แก้สำเร็จ"

ตลอด 45 ปีที่ทำงานถวายใต้เบื้องพระยุคลบาท ม.ร.ว.ดิศนัดดาบอกว่า ทั้งสองพระองค์เป็นครูที่ดีที่สุดในชีวิต

"ทรงเป็นครูจากการกระทำ ที่ผมเป็นตัวของผมได้ทุกวันนี้ มาจากพระองค์ทั้งสิ้น"

"พระองค์มิได้ทรงเป็นครูที่ดีของผมเท่านั้น แต่ทรงเป็นครูที่ดีของคนไทย และของโลกด้วย" ม.ร.ว.ดิศนัดดากล่าว

ที่มา:http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354685894&grpid=&catid=02&subcatid=0200

 

 

Go to top